วันนี้ (16 ตุลาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นที่รัฐบาลต้องออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากสถานการณ์มีความรุนแรงเกิดขึ้น และมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศมาก่อน โดยวันนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และสาระสำคัญคือการห้ามชุมนุม การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งหวังให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับการที่รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการระบาดโรคโควิด-19
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่ามุ่งหวังจะประกาศใช้กฎหมายนี้ให้สั้นที่สุด เบื้องต้น 30 วันหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งหากสถานการณ์คลี่คลายและมีความสงบก็จะยกเลิกทันที ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งหวังทำร้ายใคร เพียงแต่ต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข และฝากให้ทุกคนในประเทศสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ด้วย รวมถึงให้ผู้ปกครองดูแลนิสิตนักศึกษาด้วย เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบกับคนกลุ่มนี้
ทั้งนี้ได้มอบแนวทางปฏิบัติให้แก่หัวหน้าผู้รับผิดชอบคือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้ปฏิบัติงานไปแล้ว โดยให้ใช้ความระมัดระวังในการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมยืนยันว่ากฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทุกอย่างในการตรวจค้น ห้ามเข้าออกพื้นที่ ดังนั้นจึงขอเตือนทุกคนว่าอย่าทำผิดกฎหมาย เพราะหากทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย และไม่ใช่การละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่จำเป็นที่ต้องรักษากฎหมายเพื่อคนส่วนใหญ่
พล.อ. ประยุทธ์ ยังเปิดเผยว่าขณะนี้นักธุรกิจได้ร้องเรียนมายังตนเองถึงผลกระทบที่ได้รับแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ราชประสงค์เมื่อวานนี้ ดังนั้นตนเองในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจึงปล่อยเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ และอยากให้ผู้ชุมนุมนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้ควรเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ใช่นำกำลังมาดูแลการชุมนุมเช่นนี้ เพราะถือว่าสูญเสียบุคลากรทำงานและการทำงานก็ยากลำบาก ดังนั้นจึงฝากสื่อทุกคนช่วยกันประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ และฝากสื่อมวลชนให้ติดปลอกแขนในการเข้าพื้นที่ทำข่าวการชุมนุมเพื่อแสดงตัวตน มิเช่นนั้นจะเข้าพื้นที่ไม่ได้ และขอสื่อให้ช่วยกันทำบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย นำเสนอภาพที่ไม่สร้างความขัดแย้ง ยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้กำลังกับผู้ชุมนุม แต่บางครั้งถูกใช้กำลังจากฝ่ายตรงข้าม ทั้งขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่วนตัวไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่อยากให้ทุกคนหันมาร่วมมือและเป็นหนึ่งเดียวกันกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเสถียรภาพภายในประเทศ ขณะที่กลไกทางการเมืองก็เป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภา ซึ่งการจะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญก็จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็สนับสนุนให้แก้ไข แต่ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
พล.อ. ประยุทธ์ บอกอีกว่าตนขอฝากเตือนทุกคนที่กระทำผิดกฎหมายในขณะนี้ โดยเฉพาะการใช้สื่อโซเชียลมีเดียบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ควรต้องระมัดระวัง เพราะอาจผิดกฎหมายได้
“หากสถานการณ์บานปลายอาจจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิว ส่วนการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น ยังไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้นว่าจะต้องใช้กฎหมายนี้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ตอบกระแสข่าวที่ว่าหากสถานการณ์บานปลายจะเกิดการรัฐประหารหรือไม่ แต่ระบุว่าใครจะทำให้ไปหาตัวมา ส่วนตัวไม่คิดถึงตรงนั้น ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าเรื่องนี้ยังอีกไกล
ส่วนข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนั้น ยืนยันว่าทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมกับไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์การชุมนุมที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาประเทศมาโดยตลอดเพื่อให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“รัฐบาลมีความจริงใจ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ซึ่งที่ผ่านมาจากการรับฟังก็นำเข้าสู่กระบวนการของกฎหมายแล้ว ขอยืนยันว่าผมจะไม่ลาออกจากตำแหน่งตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม
“พร้อมกันนี้ฝากให้สื่อฟังบทสวดพระอภิธรรมบท 4 จบ ซึ่งส่วนตัวให้อโหสิกรรมกับทุกคนและไม่ให้ร้ายใคร เพราะหากให้ร้ายคนอื่นจะย้อนกลับมาที่ตนเอง ดังนั้นอย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะทุกคนมีทั้งตายในวันนี้และพรุ่งนี้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้ขอร้องว่าอย่าทำผิดกฎหมาย เพราะไม่อยากให้ใครต้องถูกดำเนินคดี และขอให้รักแผ่นดินเกิดของตนเองให้มากที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์