×

นายกฯ เปิดงาน 74 ปี บางกอกโพสต์ ขอประชาชนรวมไทยสร้างชาติ บอกไม่โอเคคดีบอส ติดตามใกล้ชิด

โดย THE STANDARD TEAM
06.08.2020
  • LOADING...

วันนี้ (6 สิงหาคม) เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ 74 ปีหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ภายใต้หัวข้อ ‘พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง’

 

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมในพิธีเปิดงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หัวข้อ ‘พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง’ และขอแสดงความยินดีที่บางกอกโพสต์ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนคุณภาพของประเทศในการนำเสนอข่าวสารแก่พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

 

การมีสื่อมวลชนที่มีคุณภาพ ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อประเทศ เพราะการสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นธรรม จะมีส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจในการดำรงชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน อีกทั้งการสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวาง การให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สร้างสรรค์ สะท้อนความต้องการของประชาชน จะช่วยสร้างความเข้าใจ บรรเทาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพลิกฟื้นประเทศในช่วงที่ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน

 

อีกมิติหนึ่งที่สำคัญคือ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องทำนุบำรุงให้แข็งแกร่ง เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีในการพลิกฟื้นประเทศไปสู่ความมั่นคงให้ได้เร็วที่สุด

 

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุอีกว่า ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ตนได้เห็นเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2557 อยู่ที่เพียงร้อยละ 1 และเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.1 และร้อยละ 3.4 ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ และเติบโตต่อเนื่องหลังจากนั้น จนกระทั่งปี 2563 ที่ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้ทวีความรุนแรงและขยายขอบเขตไปในหลายประเทศทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการปิดสถานที่และจำกัดการเดินทาง หรือมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปี 2563 หดตัวต่อเนื่องจนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และหลายประเทศขยายตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2552 องค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังชะลอตัวไปอีก 1-2 ปี

 

“เราต้องยอมรับว่าวิกฤตในครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤตที่ไทยเคยประสบมาในอดีต ที่ส่วนใหญ่เป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากภาคการเงินเป็นสำคัญ หรือส่งผลกระทบเฉพาะบางประเทศหรือบางภูมิภาคเท่านั้น เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในครั้งนี้ จึงหวังพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องหันกลับมาเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพื่อชดเชยความต้องการสินค้าและบริการจากภายนอกในช่วงที่ทั่วโลกยังประสบวิกฤตอยู่” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุ

 

พล.อ. ประยุทธ์ ยังระบุต่อไปอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ปัญหาเร่งด่วนมาเป็นลำดับ โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ตัวอย่างเช่น มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนของประชาชน อาทิ การลดค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า การสนับสนุนเงินให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ อาทิ ลูกจ้างรายวัน มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการหนี้เดิมที่มีอยู่ อาทิ มาตรการพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในช่วงของการแพร่ระบาด

 

นอกจากนี้เพื่อให้ทรัพยากรของภาครัฐเพียงพอต่อการพยุงสถานการณ์เศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพในระยะเร่งด่วน รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1,000,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเป็นไปตาม 3 แผนงาน ได้แก่ 1. แผนงานหรือโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท 2. แผนงานหรือโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบ วงเงิน 555,000 ล้านบาท และ 3. แผนงานหรือโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท

 

“การจัดสรรเงินภายใต้เงินกู้ของพระราชกำหนดฯ นี้ ในเบื้องต้นคาดว่าจะช่วยพยุงให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปได้ระดับหนึ่ง โดยปัจจุบันได้มีการดำเนินงานภายใต้แผนงานหรือโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากนี้ยังมีส่วนของแผนงานหรือโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบแล้ว 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มอาชีพอิสระ โดยใช้จ่ายจากพระราชกำหนดฯ วงเงิน 170,000 ล้านบาท 2. กลุ่มเกษตรกร วงเงิน 150,000 ล้านบาท 3. กลุ่มเปราะบาง วงเงิน 20,345 ล้านบาท และ 4. กลุ่มประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 3,492 ล้านบาท ซึ่งจะเอื้อให้การใช้จ่ายและมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเริ่มกลับมาได้” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุ

 

พล.อ. ประยุทธ์ ยังระบุอีกด้วยว่า สำหรับการดำเนินงานภายใต้แผนงานหรือโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนและพัฒนากิจกรรมที่จะเป็นแรงส่งในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลาย รวมถึงรองรับการดำเนินวิถีชีวิตเข้าสู่วิถีปกติใหม่ (New Normal) ได้อย่างราบรื่น ผ่านการจ้างงานและการสร้างรายได้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และมุ่งเน้นโครงการที่จะสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนได้อย่างยั่งยืนเป็นลำดับแรก ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลจะยังเฝ้าระวังและมีมาตรการต่อเนื่องในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รอบสองควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้การใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ควบคู่ไปกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้มีการพิจารณาจัดสรรกรอบงบประมาณในเบื้องต้นและจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป

 

นอกเหนือไปจากการเยียวยาฟื้นฟู รัฐบาลยังเล็งเห็นความสำคัญในการปรับบริบทการพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องไปกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบให้มีความโปร่งใส และเป็นธรรมแก่ประชาชนและนักลงทุนทุกท่าน ท้ายที่สุด ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและภัยทางธรรมชาติ เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเสมอมา เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ นับเป็นการเดินหน้าที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลได้วางแผนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

 

ที่สำคัญรัฐบาลจะเร่งปรับปรุงวิธีการทำงานของภาครัฐและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและติดตามประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนให้ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลในการแก้ไขและพัฒนาที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจสอดรับกับวิถีปกติใหม่ (New Normal)

 

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนเห็นว่าควรต้องใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมา ไม่เพียงแต่ดีเท่าเดิม แต่ต้องดีกว่าเดิม ซึ่งต้องการความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วนในการ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ภายใต้วิกฤตนี้ เราจะฟันฝ่าไปด้วยกัน ‘วันนี้เราต้องรอด วันหน้าเราต้องเข้มแข็งกว่าเดิม’ และเดินต่อไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ข้างหน้า เรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว เราจึงต้องเร่งฟื้นฟู เรียนรู้ และร่วมมือกันอย่างแข็งขัน

 

สุดท้ายนี้ ความสำเร็จของประเทศไทย ล้วนมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกท่านที่ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ดังนั้นผมขอให้ทุกท่านช่วยตระหนักถึงความร่วมมือและการสร้างความมั่นคงภายใน ที่จะสร้างบรรยากาศและความเชื่อมั่นให้กับการค้าการลงทุนในโครงการที่รัฐบาลได้ริเริ่มขึ้น เช่น การพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ที่จะช่วยสร้างรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว และจะนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง และผมขอยืนยันว่ารัฐบาลมีความแน่วแน่และจะ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’

 

ขณะที่ในตอนท้าย พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ขอเสริมอีกหนึ่งเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจคือเรื่อง บอส กระทิงแดง กรณีนี้แสดงให้เราเห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของสื่อที่มีต่อสังคมไทย และนั่นคือเหตุผลที่ผมเชื่อว่าในประเทศไทย สื่อต้องมีความเป็นอิสระ และมีความแข็งแรง เรื่องนี้ท้าทายระบบยุติธรรมและระบบกฎหมาย และกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อระบบรัฐทั้งหมด 

 

“ผมจึงขอแสดงจุดยืนของผมในเรื่องบอสกระทิงแดงว่า ผมไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมจะผลักดัน และผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระ และประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้และความเป็นกลาง” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุในที่สุด

 

หมายเหตุ: แฟ้มภาพ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X