เกิดอะไรขึ้น:
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวันนี้ (28 เมษายน) จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งสู่ระดับ 3.06 ล้านคน จำนวนผู้เสียชีวิต 2.12 แสนราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 6.89% และมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9.23 แสนราย
ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดรวมทั้งสิ้น 1.01 ล้านราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิต 5.68 หมื่นราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 5.62%
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลง ล่าสุดวันนี้ (28 เมษายน) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 7 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 2,938 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 54 ราย (อัตราการเสียชีวิต 1.84%) ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 2,652 ราย
อย่างไรก็ดี จากมาตรการล็อกดาวน์ของทางการทั่วโลก เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยกระทรวงการท่องเที่ยว (ททท.) คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2563 จะลดลงแตะระดับ 16 ล้านคน ลดลง 60%YoY จากระดับ 39.8 ล้านคนในปี 2562 ขณะที่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) คาดว่าในงบประมาณปี 2563 (สิ้นสุดเดือนกันยายน) จำนวนผู้โดยสารจะลดลง 53.1%YoY สู่ระดับ 66.58 ล้านคน
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SETTOURISM) ปรับตัวลง 24.1%YTD โดยราคาหุ้นโรงแรมใหญ่ 3 แห่งได้ปรับตัวลงอย่างมากเช่นกัน นำโดย
- ราคาหุ้น บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ปรับตัวลง 50.6%YTD จาก 5.95 บาท สู่ระดับ 2.92 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ปรับตัวลง 42.2%YTD จาก 36.00 บาท สู่ระดับ 20.70 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ปรับตัวลง 16.0%YTD จาก 25.00 บาท สู่ระดับ 21.00 บาท
ข้อมูล ณ วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดว่าไตรมาส 1/63 จะเป็นไตรมาสที่ซบเซาสำหรับผลประกอบการของหุ้นโรงแรม โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม ซึ่งมีการประกาศปิดสถานที่บางส่วนของกรุงเทพฯ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยเดือนมีนาคม ลดลง 38%YoY และลดลง 35%QoQ สู่ระดับ 6.7 ล้านคน ซึ่งทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรม (Occupancy Rate) และ RevPAR ลดลง 30-40%YoY โดย SCBS ได้สรุปประมาณการกำไรปกติไตรมาส 1/63 ของหุ้นโรงแรมขนาดใหญ่ (CENTEL, ERW, MINT) ดังนี้
- CENTEL คาดจะรายงานกำไรปกติอยู่ที่ 285 ล้านบาท ลดลง 62%YoY และลดลง 39%QoQ เนื่องจาก RevPAR ลดลง 33%YoY และยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales: SSS) 9%YoY โดยรายได้จากธุรกิจอาหารผ่านช่องทางจัดส่งถึงบ้านมีการเพิ่มขึ้น ซึ่งคิดเป็น ~7% ของรายได้จากธุรกิจอาหาร แต่ไม่อาจชดเชยรายการปิดร้านอาหารแบบนั่งทานได้ เบื้องต้นคาดว่า CENTEL จะรายงานผลประกอบการวันที่ 15 พฤษภาคม
- ERW คาดจะมีผลขาดทุนปกติอยู่ที่ 108 ล้านบาท (จากมีกำไรปกติใน 235 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 และ 201 ล้านบาทในไตรมาส 4/62) โดย RevPAR (ไม่รวม Hop Inn) จะลดลง 40%YoY และ RevPAR ของ Hop Inn (12% ของรายได้รวม) จะลดลง 10%YoY เนื่องจากลูกค้าของ Hop Inn ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย จึงทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าโรงแรมอื่นๆ เบื้องต้นคาดว่า ERW จะรายงานผลประกอบการวันที่ 15 พฤษภาคม
- MINT คาดจะมีกำไรปกติอยู่ที่ 315 ล้านบาท ลดลง 50%YoY และลดลง 89%QoQ โดย RevPAR ในประเทศไทยจะลดลง 30%YoY และ RevPAR สำหรับ NH Hotel Group (NHH) จะลดลง 20%YoY ขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจอาหารยังคงอ่อนเช่นกัน โดยยอดขายสาขาเดิม (SSS) ในประเทศหดตัว 6%YoY ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารผ่านการบริการส่งถึงบ้าน (คิดเป็น ~10% ของรายได้ธุรกิจร้านอาหาร) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ไม่อาจชดเชยผลกระทบจากการปิดร้านอาหารแบบนั่งทางได้ เบื้องต้นคาดว่า MINT จะรายงานผลประกอบการวันที่ 15 พฤษภาคม
มุมมองระยะยาว:
SCBS คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอเช่นนี้จะยิ่งแย่ลงต่อในไตรมาส 2/63 หลังจากมีคำสั่งปิดโรงแรมในเดือนเมษายน เนื่องจากรัฐบาลดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการสั่งห้ามเที่ยวบินพาณิชย์ทุกเที่ยวบินเข้าออกประเทศไทย
ทั้งนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังไม่คลี่คลายอย่างชัดเจน แต่เริ่มเห็นการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์บางอย่างลง เช่น ให้สายการบินของไทยกลับมาดำเนินการบินภายภายในประเทศในเดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป SCBS คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งต้องใช้เวลาก่อนที่จะที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- RevPAR ย่อมาจาก Revenue Per Available Room (รายได้ต่อห้องพักทั้งหมด) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการเงินเบื้องต้นของธุรกิจโรงแรม โดยคำนวณจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) คูณกับราคาขายเฉลี่ย (Average Daily Rate) ของโรมแรมในช่วงเวลานั้นๆ
- %YTD คือ % การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับต้นปี
- %YoY คือ % การเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาเดียวกันเทียบกับปีก่อนหน้า
- %QoQ คือ % การเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาเดียวกันเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า