วันนี้ (4 มกราคม) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สมเกียรติ คุววัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกลุ่มทุนจีนสีเทา และ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ว่าได้ขออนุมัติศาลอาญากรุงเทพใต้ขออนุมัติหมายจับจำนวน 25 หมาย จับกุมได้แล้ว 17 หมาย
หลังจากนั้นวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ได้ขออนุมัติศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับเพิ่มเติมจำนวน 12 หมาย จับกุมได้แล้ว 2 ราย ในฐานความผิดทั้งที่เกี่ยวกับการสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับจำหน่ายยาเสพติด สมคบกันกระทำในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามขาติ และการสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน
ซึ่งคดีนี้ได้รวมสำนวนทั้งหมด 5 สำนวนเป็นสำนวนเดียว เนื่องจากเป็นพฤติกรรมร่วมในการกระทำความผิด ซึ่งมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 8 มกราคม เพื่อให้อัยการสูงสุดได้พิจารณาและทันฝากขังในกรอบเวลาวันที่ 20 มกราคม ขณะนี้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 400 ปาก และยืนยันว่าสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนมีความสมบูรณ์
โดยมุ่งเน้นการแสวงหาการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาเป็นหลัก และไม่ถือว่าเป็นช่องโหว่ในกรณีที่มีการแจ้งข้อหาล่าช้ากับกลุ่มผู้ต้องหา
สมเกียรติกล่าวต่อไปว่า กรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่าทำสำนวนอ่อนหรือไม่นั้น จากการสอบสวนของพนักงานอัยการสูงสุดโดยละเอียดพบว่าภาพรวมของสำนวนมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และมุ่งเน้นไปที่การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเป็นหลัก ไม่ได้เน้นในฐานความผิดฐานใดฐานหนึ่ง แต่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งทางอัยการได้เพิ่มเติมสำนวนเพียงบางส่วนเท่านั้น
ส่วนการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ที่ผับจินหลิงนั้น ไม่มีผลในทางคดีแต่อย่างใด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้เก็บพยานหลักฐานครบถ้วนตั้งแต่วันเกิดเหตุรอบแรกแล้ว
ขณะที่ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดเผยคลิปวิดีโอและหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี รวมทั้งตำหนิการทำงานของตำรวจเกี่ยวกับเรื่องสำนวนคดี
ยืนยันว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว 2 ชุด โดยมี พล.ต.อ. วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะ และมีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นคณะกรรมการร่วมตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
รวมทั้งจะเชิญอัยการ 2-3 ท่าน มาร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวคลิปและข้อมูลอื่นๆ ที่มีการเผยแพร่ทั้งหมด ว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลหรือไม่ โดยจะต้องรายงานให้ทราบภายใน 15 วัน
พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่คลิปหรือข้อมูลผ่านทางสื่อนั้น เกรงว่าอาจเป็นช่องโหว่ให้กับกลุ่มผู้ต้องหานำไปต่อสู้ทางคดีได้ หากมีข้อมูลหลักฐานก็สามารถนำมาส่งให้กับตำรวจหรืออัยการได้โดยตรง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการคิดเรื่องการฟ้องร้องกับชูวิทย์แต่อย่างใด
ส่วนการโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตามที่ชูวิทย์ร้องขอ ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาลด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาทำงานด้วยดีมาโดยตลอด ส่วนการดำเนินคดีข้าราชการตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยของกลางและปล่อยตัวผู้ต้องหาในคดีผับจินหลิง ได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ไปแล้ว 4 นาย
ประกอบด้วยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ยานนาวา 2 นาย และรองผู้กำกับจราจร สน.ลาดพร้าว 1 นาย ขณะนี้ได้ส่งสำนวนทั้ง 3 นายไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณาฐานความผิดมาตรา 157 ส่วนรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 อีก 1 นายอยู่ระหว่างการทำสำนวนส่งให้กับ ป.ป.ช. เช่นกัน พร้อมทั้งให้ตำรวจนครบาลตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงทั้ง 4 นายแล้ว