วานนี้ (16 กรกฎาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กเตรียมยกระดับล็อกดาวน์ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม จำกัดการเดินทางประชาชน ปิดสถานที่เพิ่ม เหลือเท่าที่จำเป็น ออกกฎการทำงานที่บ้านอย่างสูงสุด พร้อมมีมาตรการเยียวยาเต็มที่ โดยมีรายละเอียดระบุว่า
หลังจากที่ผมได้ประกาศยกระดับการควบคุมสถานการณ์ใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม พร้อมทั้งประกาศเคอร์ฟิวและจำกัดการเดินทางที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในวันนี้ผมได้เรียกประชุม ศบค. เป็นวาระพิเศษ โดยได้เชิญคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการปรับแผนการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงไม่ลดลง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดอื่นๆ ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น และการหยุดการเคลื่อนตัวของประชาชนยังคงทำได้ไม่มากพอ ทำให้มีการประเมินว่า ในระยะต่อไปหากยังไม่มีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น สถานการณ์อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนมีผลร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุข
ในวันนี้ที่ประชุมจึงมีมติว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการจำกัดการเดินทางของประชาชนให้มากที่สุด และเพิ่มการปิดสถานที่ต่างๆ ให้เหลือเท่าที่จำเป็น รวมทั้งการออกกฎการทำงานที่บ้านอย่างสูงสุด ซึ่งคณะแพทย์ที่ปรึกษาจะปรึกษาหารืออย่างละเอียดรอบคอบ โดยศึกษาจากรูปแบบการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ เพื่อทำเป็นมาตรการเสนอต่อ ศบค. อย่างเร่งด่วน เพื่อดำเนินการโดยเร็วที่สุด
ผมขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยเฉพาะใน 10 จังหวัดสีแดงเข้มและจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น เตรียมความพร้อมในการยกระดับการควบคุมการเดินทางที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดในแต่ละจังหวัด โดยให้คงความเข้มงวด แต่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นนี้ย่อมมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมแผนการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไว้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาคการคลังของประเทศ โดยจากการปิดสถานที่ล่าสุดนี้ รัฐบาลได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยพี่น้องประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งการชดเชยผู้ประกอบการและลูกจ้างใน 9 กลุ่มกิจการ ใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม รวมถึงผู้มีอาชีพอิสระด้วย นอกจากนั้นยังได้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งลดค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นเวลา 2 เดือน และล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและสมาคมธนาคารนานาชาติออกมาตรการเร่งด่วน พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือน ให้กับทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ต้องปิดกิจการ และพิจารณาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ปิดกิจการแต่มีรายได้ลดลง และยังจะมีมาตรการอื่นๆ ที่พิจารณาโดยเร่งด่วน เช่น การลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา
ด้านสาธารณสุข ในที่ประชุมวันนี้ได้รับทราบมาตรการการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ Antigen Test Kit ควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองเชิงรุกแบบเดิมที่เร่งดำเนินการตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งการตรวจ Antigen Test Kit ประชาชนสามารถดำเนินการในการตรวจได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะลดการแออัดในการขอตรวจกับจุดตรวจต่างๆ ซึ่งจะมีกระบวนการในการดำเนินการอย่างชัดเจน หากได้ผลบวกก็จะมีการตรวจซ้ำกับโรงพยาบาลและจุดตรวจอีกครั้งเพื่อยืนยันผล และแยกรักษาตามอาการ ทั้งการกักตัวที่บ้านหรือศูนย์โควิดชุมชนสำหรับผู้ป่วยสีเขียว และการรักษาที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขเชื่อว่า วิธีนี้จะช่วยลดความแออัดของเตียงผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ลงได้ และรัฐบาลกำลังดำเนินการทุกทางที่จะเพิ่มการรองรับผู้ป่วยในทุกระดับ ทุกพื้นที่
นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขที่จะให้มีการจัดฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร คือ Sinovac และ AstraZeneca เป็นแนวทางควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน AstraZeneca จำนวน 2 เข็ม และการฉีดวัคซีนกระตุ้น (Booster Dose) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีน Sinovac จำนวน 2 เข็ม โดยเข็มที่ 3 ให้เป็น AstraZeneca หรือ Pfizer ที่จะได้รับมาจากสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ทรัพยากรวัคซีนที่เรามีอยู่ โดยอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของประเทศและผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย รัฐบาลจะเร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนจากทุกๆ แหล่งที่สามารถทำได้ให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด โดยไม่เคยปิดกั้นการจัดหาวัคซีนทางเลือกจากภาคเอกชน
สุดท้ายนี้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนร่วมกันตระหนักถึงความจำเป็นที่เราอาจจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากขึ้นในเร็วๆ นี้ และอาจจะทำให้เราได้รับผลกระทบหรือได้รับความไม่สะดวกหลายๆ อย่าง แต่ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านเข้าใจว่า ทุกมาตรการที่ออกมามาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ และผมเชื่อว่า หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ประเทศไทยจะต้องฝ่าวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็วที่สุด