วันนี้ (27 กรกฎาคม) ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ. จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ได้มอบนโยบายให้กับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกลาโหม เหล่าทัพ เรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ ว่าให้ดำรงความต่อเนื่องการจัดเตรียมกองทัพให้พร้อมสำหรับการพิทักษ์รักษา ปกป้อง และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การป้องกันและการพัฒนาประเทศ
รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ของชาติ และการช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของกองทัพ ด้วยการปรับลดกำลังพลลงร้อยละ 5 ของยอดบรรจุในเดือนกันยายน 2563 ตามแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหม ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) โดยดำเนินการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านความมั่นคงทั้งในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค ตลอดจนภัยคุกคามต่างๆ อันเป็นการช่วยลดงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของกระทรวงกลาโหมได้อีกช่องทางหนึ่ง
สำหรับการนำยุทโธปกรณ์ใหม่เข้าประจำการนั้น ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น ควบคู่ไปกับการซ่อมปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้สอดคล้องกับขีดความสามารถด้านงบประมาณของประเทศต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม กรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และกรณีคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์และ ICT มีมติตัดงบงวดแรกในการจัดซื้อเครื่องบิน F-35 จำนวน 2 ลำ มูลค่า 700 ล้านบาท ออกจากรายการงบประมาณประจำปี 2566 โดยบอกว่า เป็นขั้นตอนทางการเมืองที่ฝ่ายค้านแสดงออกเพื่อให้เห็นว่าทำหน้าที่ตัดงบทหารแล้ว แต่ในความเป็นจริงเชื่อว่าเขาเข้าใจ ดังนั้นกองทัพก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่อไป ซึ่งเครื่องบิน F-35 ไม่ใช่จะซื้อเมื่อไรก็ซื้อได้ แต่มีรายละเอียดขั้นตอนที่ต้องใช้เวลากว่าจะได้มากกว่าจะฝึกให้พร้อมใช้งานได้