วันนี้ (2 กรกฎาคม) ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค แกนนำพรรค เช่น สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, ไพบูลย์ นิติตะวัน, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า, มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ปฐมนิเทศสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้ง 40 คน
พล.อ. ประวิตรให้โอวาทแก่ ส.ส. จำนวน 40 คนของพรรคว่า ทุกท่านที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนคงทราบดีว่าการเลือกตั้งในรอบนี้เป็นการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น จากข้อมูลการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองที่เสนอตัวถึง 67 พรรค มีผู้สมัครระบบเขตเลือกตั้งมากกว่า 4,000 คน ใน 77 จังหวัด และการเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิกว่า 75% ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า แม้พรรคพลังประชารัฐจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาเป็นลำดับที่ 4 แต่ ส.ส.เขตมาจากทุกภูมิภาค จนถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับและศรัทธาของประชาชนทั่วประเทศ และผลที่ออกมาจะเห็นได้ว่าแต่ละพรรคสำเร็จไปตามเป้าหมายต่างกันไป เชื่อว่าทุกพรรคคงนำผลเลือกตั้งไปปรับปรุงและกำหนดแนวทางในการเลือกตั้งต่อไป
“ถึงวันนี้พรรคพลังประชารัฐต้องเดินไปข้างหน้าตามอุดมการณ์ของพรรคที่ต้องการเข้าไปแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน เพื่อเป็นพรรคการเมืองที่แข็งแกร่งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอดูแลพรรคพลังประชารัฐตลอดชีวิตที่มีอยู่ ไม่ต้องกังวลว่าผมจะลาออก ยังไงผมก็อยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป” พล.อ. ประวิตรกล่าว
พล.อ. ประวิตรกล่าวต่อว่า ในวันที่ 4 กรกฎาคมจะมีการเลือกประธานสภา และต่อเนื่องไปจนถึงการเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าผลออกมาอย่างไร พรรคพลังประชารัฐคือพรรคยึดมั่นในประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อรับใช้พี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และการประชุมในครั้งนี้อยากให้เป็นจุดเริ่มต้น ไม่ว่าใครในตำแหน่งใดของพรรคก็จะต้องร่วมมือกันเพื่อทำให้พรรคเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าคนที่เคยเป็น ส.ส.มาก่อน หรือเพิ่งมาเป็น ต้องร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนในการทำหน้าที่ทั้งในและนอกสภา อีกทั้งต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม
ทั้งนี้ การทำหน้าที่ ส.ส. ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และมีจริยธรรมในการปฏิบัติตามมติของพรรคอย่างเคร่งครัด ส.ส.พรรคพลังประชารัฐต้องเป็นเอกภาพ ไม่มีแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนเพื่อรับผลประโยชน์ เพราะทุกคนอยู่ในการดูแลของพรรคและได้รับการสนับสนุนจากพรรคทุกอย่าง ไม่ใช่ประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชนในประเทศชาติโดยส่วนรวม จึงต้องยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง