เปิดไฟลิ่ง ‘PRAPAT’ หุ้นน้องใหม่สายผลิตภัณฑ์ด้านความสะอาดในตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าซื้อขายวันที่ 20 ตุลาคมเป็นวันแรก ด้วยราคา IPO ที่ 1.50 บาท เตรียมนำเงินระดมทุนลงทุนในระบบบัญชีเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและใช้สร้างคลังเพิ่ม
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่าได้รับหลักทรัพย์ บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรม
บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยาทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อภายใต้ตราสินค้าหลัก Peerapat รวมทั้งเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอุตสาหกรรมการให้บริการ (Hospitality Industry) อีกทั้งให้เช่าและให้บริการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท
บริษัทมีทุนชำระแล้ว 170 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 240 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 12 และ 14-15 ตุลาคม 2563 ในราคาหุ้นละ 1.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 150 ล้านบาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 510 ล้านบาท
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 11.90 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิใน 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2563) ซึ่งเท่ากับ 42.85 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.126 บาท โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
เม็ดเงินจากการะดมทุนครั้งนี้ บริษัทจัดสรรไว้สำหรับลงทุนในระบบบัญชีและระบบควบคุมการผลิตจำนวน 50 ล้านบาท โดยจะเริ่มลงทุนในไตรมาส 4/63 ถึงไตรมาส 2/64 สำหรับลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มจำนวน 72 ล้านบาท เริ่มลงทุนในไตรมาส 1/64 ถึงไตรมาส 1/65 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการจำนวน 5.79 ล้านบาทสำหรับปี 2563-2564
ผลประกอบการไตรมาส 2/63 บริษัทขาดทุน 6.88 แสนบาท หรือ 0.00 บาทต่อหุ้น ลดลง 109% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีกำไร 7.14 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2563 มีกำไร 11.08 ล้านบาท หรือ 0.05 บาทต่อหุ้น ลดลง 17.68% จากงวดเดียวกันของปี 2562 ที่กำไร 13.46 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น
โดยปัจจัยกดดันผลประกอบการในครึ่งปีแรกมาจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง กระทบต่อธุรกิจโรงแรมซึ่งส่งผลการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดด้านซักรีดลดลง และมาตรการล็อกดาวน์กระทบธุรกิจโรงแรมร้านอาหารจนไม่สามารถดำเนินการได้ กระทบต่อผลิตภัณฑ์ด้านครัว เช่นเดียวกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอกระทบต่อผลิตภัณฑ์สระว่ายน้ำ
ณ งวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากสองธุรกิจหลัก ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 80% และธุรกิจให้เช่าและบริการ 20%
บริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ หลังหักสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองอื่นตามที่บริษัทกำหนด โดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท
อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับความเพียงพอของกระแสเงินสดสุทธิ ฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน แผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ของบริษัท รวมถึงความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นในอนาคตตามที่คณะกรรมการบริษัท และ/หรือผู้ถือหุ้นของบริษัทเห็นสมควรหรือเหมาะสม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์