วันนี้ (23 กรกฎาคม) ที่พรรคพลังประชารัฐ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพะเยา ในฐานะประธานประสานงานพรรคพลังประชารัฐ และ ไผ่ ลิกค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดกำแพงเพชร ร่วมกันแถลงข่าวผลการหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทยเมื่อเวลา 14.00 น.
สันติกล่าวถึงผลการหารือว่า พรรคพลังประชารัฐได้รับเกียรติจากพรรคเพื่อไทยที่เชิญเราไปพูดคุยแก้ไขปัญหาวิกฤตการจัดตั้งรัฐบาลและเข้าไปบริหารบ้านเมือง หลังผ่านการเลือกตั้งกว่า 2 เดือน แต่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้ หากล่าช้าเกิดปัญหาหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
สำหรับผลการพูดคุยนั้น พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ชาติมีความมั่นคง ประชาชนมีความผาสุก อยู่ดีกินดี รวมถึงการพัฒนาในเรื่องของเศรษฐกิจ ให้มีความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง
ทั้งนี้ แจ้งกับพรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมถึงแนวทางที่พรรคพลังประชารัฐจะร่วมทำงานด้วยได้นั้น จะต้องเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ยุ่งเกี่ยว หรือมีแนวคิดที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หากพรรคใดมีแนวคิดดังกล่าวเราไม่สามารถร่วมทำงานได้
“พรรคพลังประชารัฐตระหนักว่า เราอยู่ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เรามีหน้าที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นการที่จะไปแก้ไขมาตรา 112 นั้น พรรคพลังประชารัฐรับไม่ได้ ซึ่งการพูดคุยกันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” สันติกล่าว
ขณะที่ ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า การหารือกับพรรคเพื่อไทย ในวันนี้เป็นการหารือเพื่อหาแนวทางพาประเทศพ้นวิกฤต ไม่ใช่การหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมมองว่า พรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะจัดรัฐบาลให้ได้ จึงเชิญ ส.ส. 188 คนจากพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อขอเสียงสนับสนุนการโหวตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย รวมถึงฟังแนวคิดและจุดยืนต่างๆ ด้วย
ร.อ. ธรรมนัสกล่าวถึงการร่วมรัฐบาลว่า หลักการของพรรคพลังประชารัฐคือก้าวข้ามความขัดแย้ง การจะร่วมกับพรรคใด หากมีความแตกแยกในสังคม พรรคพลังประชารัฐไม่ขอร่วมรัฐบาลด้วย
ส่วนกระแสข่าวการเสนอชื่อ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ชิงนายกรัฐมนตรีนั้น ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่า การที่เราจะจัดตั้งรัฐบาล จะต้องมีเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเกินครึ่ง (250 เสียง) หากเสียงไม่พอเราไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะมันจะเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์มากในสังคม
ร.อ. ธรรมนัส ยังกล่าวถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า ต้องเป็นบุคคลที่พาบ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง พาประเทศชาติให้รอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงต้องเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทุกด้าน รวมถึงการแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมด้วย