×

หุ้นโรงไฟฟ้า (เตรียม) กลับมาเด่น! หลัง ‘ไบเดน’ จ่อคว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ

05.11.2020
  • LOADING...
หุ้นโรงไฟฟ้า (เตรียม) กลับมาเด่น! หลัง ‘ไบเดน’ จ่อคว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ

เรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่คู่คี่สูสีมากที่สุดครั้งหนึ่ง ล่าสุด เป็น ‘โจ ไบเดน’ ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ที่พลิกกลับมามีโอกาสคว้าชัยชนะมากกว่าอีกครั้ง หลังจากที่กระแสของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ตีกลับขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้

 

ล่าสุด คะแนนเสียงของไบเดนอยู่ที่ 264 เสียง ส่วนทรัมป์อยู่ที่ 214 เสียง โดยผู้ที่คว้าคะแนนเสียงครบ 270 เสียงก่อน จะเป็นผู้ชนะไปในที่สุด

 

สำหรับการตอบรับของตลาดหุ้นไทย (SET) เช้านี้ (5 พฤศจิกายน 2563) ดัชนีพุ่งขึ้นราว 20 จุด หรือ 1.6% มาแตะระดับ 1,243 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ โดยหุ้นกลุ่ม ‘กลุ่มพลังงาน’ ปรับขึ้นได้แรงสุด ช่วยดันดัชนีได้ถึง 6-7 จุด

 

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า หุ้น ‘โรงไฟฟ้า’ เป็นหมวดหุ้นที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยราคาหุ้นสามารถปรับขึ้นได้เกือบยกแผง อย่าง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC), บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA), บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) และ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ซึ่งราคาของหุ้นกลุ่มเหล่านี้เพิ่มขึ้นราว 3-10%

 

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับตัวลดลงแรง โดยเฉพาะ EGCO ที่ลดลงถึง 46% แต่อย่างไรก็ตาม ‘นักวิเคราะห์’ ต่างประเมินว่า ราคาหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น หลัง ‘โจ ไบเดน’ ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาด มีแนวโน้มชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ

 

 

สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า ด้วยคะแนนเสียงปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่ไบเดนจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งในระยะยาว หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้อานิสงส์จากนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนของไบเดน ประกอบกับราคาหุ้นในกลุ่มนี้ที่ลดลงมาต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ จึงเกิดแรงซื้อกลับจาก Sentiment ที่เข้ามาหนุน

 

ทั้งนี้ หากมองภาพรวมระหว่างตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed Market: DM) และตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ด้วยลักษณะของรัฐบาลที่น่าจะเป็นแบบผสม คือ ไม่ได้มีพรรคใดพรรคหนึ่งครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา ทำให้ตลาด DM และ EM จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

 

ส่วนของ DM น่าจะเห็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นผู้นำตลาดต่อไป บนสมมติฐานที่ว่า จะไม่เห็นการขึ้นภาษีอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ขณะที่ฝั่ง EM ซึ่งถูกกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่า ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะไม่ชะลอตัวมากเท่ากับฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งหุ้นในกลุ่มอาหาร และการบริโภคในประเทศ รวมถึงหุ้นสาธารณูปโภคที่ราคาปรับตัวลงมามาก น่าจะเริ่มโดดเด่นขึ้นมาได้

 

“สำหรับตลาดหุ้นไทยน่าจะเริ่มดีขึ้น แม้ว่ากลุ่มท่องเที่ยวและขนส่งยังน่าจะถูกกดดัน แต่จะไม่ถึงกับดึงให้ทั้งตลาดลงมาด้วย ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้า การแพทย์ ค้าปลีก ที่กดดันตลาดมาก่อนหน้านี้ เมื่อมองไปในปี 2564 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะไม่ Underperform ตลาดหุ้นภูมิภาคมากเท่ากับช่วงที่ผ่านมา แต่ก็อาจจะยังไม่ดีเท่ากับกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ซึ่งมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหญ่” สุกิจกล่าว

 

ในระยะสั้นระดับสัปดาห์ ประเมินว่าดัชนี SET อาจจะขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,250 จุด แต่เป้าหมายสิ้นปีนี้ประเมินที่ระดับ 1,300 จุด ด้วยปัจจัยบวกจากพัฒนาการของวัคซีน และการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บลจ.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนจะกลายเป็นหุ้นเด่นหลังจากนี้ โดยได้แรงหนุน 2 ต่อ ในกรณีที่ไบเดนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในท้ายที่สุด

 

ประการแรก คือ การผลักดันเรื่องพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกระแสของโลก และไม่น่าจะถูกขัดขวางโดยสภาครองเกรส แม้ว่าพรรครีพับลิกันน่าจะเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมาก

 

ประการที่สอง คือ แนวโน้มที่บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ไม่น่าจะพุ่งขึ้นมาก ซึ่ง 2 วันที่ผ่านมา เริ่มเห็นการลดลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ค่อนข้างแรง เนื่องจากสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐฯ น่าจะครองโดยคนในพรรค จึงไม่น่าจะเห็นการออกมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่เรามองเป็นลบต่อ High Yield Asset

 

“ด้วยสองปัจจัยข้างต้น ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานหมุนเวียนจะได้อานิสงส์ ขณะที่ทิศทางของเงินทุนน่าจะไหลมาทาง EM ซึ่งล่าสุดจะเห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นได้ดีกว่า Dow Jones Futures ซึ่งเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% และสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ ก็มีโอกาสจะยืดเยื้อ จากการที่ทรัมป์น่าจะเดินเกมทางกฎหมาย เรียกร้องให้ศาลพิจารณาการนับคะแนนใหม่ในบางรัฐ รวมถึงคะแนนทางจดหมาย” ณัฐชาตกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ภาพของตลาดหุ้นไทยเทียบกับภูมิภาค มีโอกาสที่จะ Underperform ต่อไป เนื่องจากหุ้นไทยมีโอกาสถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มน้ำมัน ตราบใดที่สถานการณ์โควิด-19 ยังคงยืดเยื้อ เนื่องจากอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นกลับมาเท่ากับอุปทานในตลาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยถ่วงอัปไซด์ของตลาดหุ้นไทย

 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X