วันนี้ (2 กุมภาพันธ์) ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงผลอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั่วประเทศ เมื่อวานนี้ (1 กุมภาพันธ์) โดยระบุว่า ภาพใหญ่ยังชี้ให้เห็นฉากทัศน์เดิมที่เคยเสนอไว้ ว่าการเมือง 3 ก๊ก
- เพื่อไทย
- พรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ชั่วโมงนี้ภูมิใจไทยโดดเด่นกว่ารวมไทยสร้างชาติหรือประชาธิปัตย์
- พรรคประชาชน
ณัฐวุฒิกล่าวว่า จะไม่มีใครได้เสียงเกินครึ่งในการเลือกตั้งปี 2570 การตั้งรัฐบาลจะจับมือกันระหว่าง 2 ใน 3 ก๊กนี้ พรรคที่จะตอบยากที่สุดว่าจะจับหรือไม่จับมือกับใครอย่างเด็ดขาดคือพรรคประชาชน
“รอบนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของคะแนนไม่มอบตัวเป็นของง่ายของใคร ทุกพรรคมีบทเรียนสำคัญให้ต้องสรุป และมีการบ้านข้อใหญ่ให้ต้องแก้ไข ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อจะเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งใหญ่”
ณัฐวุฒิชี้ว่า เพื่อไทยส่ง 16 ได้ 10 จังหวัด บางสื่อว่าได้ 18 รวมคนในเครือข่ายของพรรคด้วย ไม่คิดว่าจะแพ้ที่เชียงรายกับลำพูน ศรีสะเกษเรารู้ดีว่าไม่ง่าย แต่คิดว่าถ้าชนะก็สูสี หรือหากแพ้คะแนนน่าจะใกล้กันกว่านี้ ส่วนจังหวัดอื่นๆ ทั้งที่ชนะและไม่ชนะ ล้วนอยู่ในความคาดหมาย ทีมงานทุกส่วนต้องทำงานหนักกันต่อไป ส่วนพรรคประชาชนส่ง 17 ได้ 1 จังหวัด พื้นที่ซึ่งมี สส. ยกจังหวัดแพ้ทุกที่ น่าสนใจว่าส่วนนำจะวิเคราะห์ผลอย่างไร
“พรรคอนุรักษนิยมไม่ได้เปิดตัวชัด แต่รู้กันในทีว่าไผเป็นไผ เสียแชมป์ก็มี ป้องกันแชมป์ได้ก็เห็น แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นขาขึ้น มองดีๆ ผมว่าไม่ใช่ เชื่อว่าคนทำงานต้องอ่านสัญญาณกันละเอียดเช่นกัน”
ณัฐวุฒิมองว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคตั้งแต่ไทยรักไทยถึงเพื่อไทย ไม่เคยชนะเลือกตั้งด้วยเวทมนตร์ แต่สำเร็จด้วยผลงานและนโยบายที่ทำได้จริง ประชาชนที่เลือกเล่าได้เป็นฉากๆ ว่าเลือกเพราะอะไร นโยบายไหนโดนใจ การว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลยาวนานร่วมทศวรรษทำให้จุดแข็งนี้พร่าเลือนไป
กลับมาเป็นรัฐบาลผสมภายใต้แรงกดดันทางการเมือง เผชิญกับรัฐราชการที่รัฐบาลก่อนปักหมุดไว้ สภาพเศรษฐกิจที่ดำดิ่งต่อเนื่อง การผลักดันนโยบายจึงไม่ง่าย การบุกเบิกจากรัฐบาลเศรษฐาถึงรัฐบาลแพทองธาร ทำให้เนื้องานที่วางไว้เริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังแตกต่างถ้าเทียบกับความสำเร็จยุคไทยรักไทย และยังพูดว่าสำเร็จไม่ได้จนกว่าจะมีรูปธรรมที่ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งปี 2568 คือปีสำคัญ ชี้ขาดโดยหลายนโยบายที่กำลังเดินหน้าอยู่ ถ้าผลงานออกชัด งานในสนามเลือกตั้งของเพื่อไทยจะลดความยากลง
“บางคนถามว่าทักษิณมาเองได้แค่นี้หรือ? ผมว่าต้องถามใหม่คือ ถ้าทักษิณไม่ลงพื้นที่จะได้ขนาดนี้หรือไม่? ทักษิณยังคงมีพลังทางการเมือง ส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทย 10 จาก 16 ที่ถือว่าผ่าน ได้มากกว่าทุกพรรคด้วย”
ณัฐวุฒิทิ้งท้ายด้วยข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งนายก อบจ. คราวนี้ปรากฏจำเลยขึ้นรายหนึ่ง กลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี โค่นล้ม เป็นปมปัญหาใหญ่ที่ขัดขวางความเจริญของท้องถิ่นไทย ‘บ้านใหญ่’
“ตัดเรื่องแนวทางของพรรคการเมืองออก แต่ที่ผมอยากแลกเปลี่ยนคือ การวางสถานะของบ้านใหญ่เป็นผู้ร้ายทางการเมืองไปเสียเลย มันใช่หรือไม่ ประเภทค้ายาเสพติด ปล้นชิง โกงหลวงลวงราษฎร์ กดขี่คนด้อยกว่า คนพวกนี้น่ารังเกียจอยู่แล้ว จะเป็นบ้านไซส์ไหนก็ใช้ไม่ได้ แต่ดูเหมือนคำว่าบ้านใหญ่ถูกใช้เหมารวมถึงบ้านไหนก็ตามที่มีเครือข่าย บารมี หรือฐานทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่ ผมว่ากว้างไป และไม่แน่ใจว่าการนิยามเช่นนั้นจะถูกต้องตามข้อเท็จจริงบนพื้นฐานความเข้าใจสังคมไทยหรือไม่”
ณัฐวุฒิระบุว่า คนจำนวนมากที่ถูกมองเป็นบ้านใหญ่เป็นพวกใจใหญ่ ชีวิตล้มลุกคลุกคลานถลอกปอกเปิกมาจนตั้งตัวได้ เป็นคนกล้าให้ กล้าเสียเปรียบ กว่าจะยืนเป็นเบอร์ต้นๆ ในแต่ละพื้นที่ ไม่รู้ต้องให้คนเสียเปรียบคนมาเท่าไร ถ้ามีในกระเป๋า 2,000 บาท จะกล้าเลี้ยงเพื่อน 20,000 บาท อยู่กับคนไม่เคยเอาไม้บรรทัดวัด แต่เอาหัวใจวัด
“คนพวกนี้หลายพื้นที่พอลงการเมืองชาวบ้านก็เลือก จะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ถ้าถามชาวบ้าน เขาจะตอบว่าเลือกเพราะคบได้ ผมคิดว่าถ้าจะทำการเมืองอย่างเป็นจริง ยึดโยงกับท้องถิ่น ยึดกุมประชาชน ไม่น่าใช่การกำหนดบ้านใหญ่เป็นศัตรูแบบเหมารวม แต่ต้องเรียนรู้และเข้าใจวิถีเหล่านี้”