ย้อนกลับไป 12 ปีก่อน ตอนที่ลานน้ำพุเซ็นเตอร์พอยต์เป็นจุดนัดพบยอดฮิต และร้านดีเจสยามคือที่เปิดประสบการณ์ฟังเพลงใหม่ๆ ให้กับคนที่ใจรักในเสียงดนตรี เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ‘รักแห่งสยาม’ ของผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันแรกวันที่ 22 พฤศจิกายน 2552
ในยุคที่ความคิดเรื่อง LGBTQ ยังไม่เปิดกว้าง ตุ๊ดและเกย์ยังถูกนำเสนอในลักษณะตัวตลก (ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่) สิ่งที่มะเดี่ยวเลือกนำเสนอใน รักแห่งสยาม คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเชื่อ ความศรัทธา ความฝันของคนหนุ่มสาว มิตรภาพ และความรักแบบชายรักชาย ที่ฉายให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องปกติ มิใช่เรื่องผิดแปลกที่สมควรถูกหัวเราะหรือเหยียดหยามแต่อย่างใด
เล่าเรื่องราวผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง โต้ง (มาริโอ้ เมาเร่อ) กับ มิว (พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) สองเพื่อนสนิทที่มีความรู้สึกพิเศษให้กันตั้งแต่เด็ก แต่ต้องแยกย้ายไปอยู่คนละที่จากเหตุการณ์ที่ แตง (พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) พี่สาวของโต้งหายหัวไป ก่อนที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่พวกเขาเติบโตพอที่จะรู้ว่าความรักคืออะไร
นอกจากความรักที่นำเสนอได้อย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติ รักแห่งสยาม ยังกล้าตั้งคำถามกับความเชื่อ ความศรัทธา ตาม ‘กรอบ’ ทางสังคมและศาสนาที่ถูกขีดเอาไว้ และนั่นทำให้ประโยคที่ว่า
“ถ้าโต้งเลือกไม่ถูกใจแม่ เดี๋ยวแม่ก็จะว่าโต้งอีก” และ “เราคงคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้…แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักมิวนะ” กลายเป็นสองประโยคสั้นๆ ที่ยังอยู่ในใจใครต่อใคร และบ่งบอกอะไรได้มากเหลือเกิน
มะเดี่ยวเคยให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD POP ถึงความรู้สึกตอนที่ทำ รักแห่งสยาม เอาไว้ว่า
“เป็นช่วงที่เอ็นจอยการใช้ชีวิตมาก มีกิจกรรมที่ได้พัวพันกับวัยรุ่นแถวสยามเยอะ เช่น อบรมทำหนังสั้นให้น้องๆ ได้เห็นความโรแมนติกในนั้น เห็นความหลากหลายของชีวิตที่มีสีสัน ได้เป็นที่ปรึกษาของน้องๆ ก็มีเรื่องที่จะเล่าเยอะ
“ได้เห็น ได้รู้สึกว่าความรัก ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนสมัยนี้ไปแล้ว เราก็มองโต้งกับมิวในฐานะคนที่รักกันแบบเป็นธรรมชาติมากๆ แล้วก็เล่ามันออกมาอย่างจริงใจ แค่หยิบภาพนี้มาเล่า แล้วบอกว่ามันมีจริงๆ ไม่เชื่อลองไปเดินสยามดูสิ ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือนำไปสู่สิ่งใดเลย
“แล้วก็ได้รับจดหมายมากมายมหาศาลที่เล่าเรื่องที่เขาเจอมา แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างพอได้ดูหนังเรื่องนี้ เคสหนึ่งที่รู้สึกมากๆ คือมีลูกที่เป็นเกย์ พาพ่อแม่ที่กำลังจะหย่ากันไปดู รักแห่งสยาม แล้วเห็นพ่อแม่แอบจับมือกันในโรงหนัง แล้วตัดสินใจอยู่ด้วยกันต่อ”
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ รักแห่งสยาม กลายเป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน ได้เปิดใจ ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง และความรู้สึกของคนที่เรารัก ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นอย่างไรได้มากขึ้น
ผลจากความสำเร็จของ รักแห่งสยาม ส่งให้วงเฉพาะกิจในนาม ‘ออกัส’ ซึ่งมีบทบาทร่วมอยู่ในหนัง กลายเป็นวงดนตรีขึ้นมาจริงๆ โดยมีสมาชิกทั้งหมด 11 คน หนึ่งในนั้นคือ พิช ที่ต่อมากลายเป็นนักร้องและนักแสดงที่มีแฟนคลับจีนเหนียวแน่นอย่างที่สุด รวมทั้งแจ้งเกิดเด็กหนุ่มหน้าใส ที่ตอนหลังกลายเป็นพระเอกพันล้านที่ชื่อมาริโอ้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน
รักแห่งสยาม ทำรายได้รวมเมื่อหมดโปรแกรมฉายไปทั้งสิ้น 42 ล้านบาท และสามารถคว้ารางวัลใหญ่จากการประกาศผลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ได้ถึง 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์), รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
และจะยังถูกจดจำ พูดถึง นำกลับมาเปิดดูซ้ำๆ ในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์แห่งความทรงจำที่บอกเล่าเรื่องราวความรักได้อย่างงดงามและเป็นธรรมชาติมากที่สุดเหมือนเดิม