หากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าฉายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 จนถึงวันนี้ Little Miss Sunshine ภาพยนตร์โรดมูฟวีฟีลกู๊ดของคู่รักผู้กำกับ โจนาธาน เดย์ตัน และ วาเลรี ฟาริส ซึ่งได้ปลอบประโลมหัวใจผู้ชมทั่วโลก ก็มีอายุครบ 15 ปีแล้ว
Little Miss Sunshine เล่าเรื่องราวเรียบง่ายแต่สวยงาม ตัวหนังพาเราไปตามติดการเดินทางบนรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองสภาพร่อแร่ของครอบครัวฮูเวอร์ที่เปรียบเสมือนชมรมคนขี้แพ้ เพราะสมาชิกแต่ละคนต่างมีปมชีวิตและต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดสิ้นหวัง
ไล่มาตั้งแต่ ริชาร์ด (เกร็ก คินเนียร์) หัวหน้าครอบครัวผู้ยึดติดกับทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความสำเร็จ, เชอริล (โทนี คอลเล็ตต์) ภรรยาผู้เก็บงำความเครียดไว้ในใจขณะจัดการทุกอย่างให้เข้าร่องเข้ารอย, แฟรงก์ (สตีฟ คาเรลล์) น้องชายของเชอริล อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ถูกลูกศิษย์หนุ่มหักอกจนคิดฆ่าตัวตาย
ดเวย์น (พอล ดาโน) เด็กหนุ่มผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินที่สัญญาว่าจะไม่เอ่ยปากสักคำหากยังทำไม่สำเร็จ, เอ็ดวิน (อลัน อาร์คิน) คุณปู่จอมเหลวแหลกผู้ไม่ยี่หระต่อชีวิต และโอลีฟ (อบิเกล เบรสลิน) หนูน้อยน่ารัก พุงป่อง ผู้เป็นศูนย์รวมใจคนทั้งบ้าน
ทุกคนตัดสินใจออกเดินทางไกล 800 ไมล์เพื่อพาโอลีฟไปประกวดนางงาม ‘ลิตเติลมิสซันไชน์’ ซึ่งแม้ระหว่างทางจะต้องพบเจอกับเรื่องราววุ่นๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันนี้ที่ทำให้ครอบครัวฮูเวอร์ค้นพบความรักภายใต้ความสัมพันธ์อันหักพัง นำไปสู่การหันหน้าพูดคุย ปรับทุกข์ ช่วยเหลือ เยียวยาบาดแผลให้กันและกัน
Little Miss Sunshine เปิดตัวที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ก่อนจะได้รับคำชื่นชมล้นหลามจากบรรดานักวิจารณ์ ตัวหนังเต็มไปด้วยฉากจำอันอบอุ่นหัวใจ มาพร้อมกับเมสเสจที่สอนให้เราโอบกอด ‘ความเป็นตัวเอง’ และย้ำเตือนให้ผู้ชมเห็นความสำคัญของ ‘ครอบครัว’ กลุ่มบุคคลผู้จะไม่มีวันทิ้งเราไปไหนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 101 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาดสำหรับหนังอินดี้เล็กๆ ที่ใช้ทุนสร้างเพียง 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขา Best Original Screeplay และ SAG Awards สาขา Outstanding Performance by a Cast in a Motion Picture มาครองได้อีกด้วย
ภาพ: Fox Searchlight Pictures