Coldplay ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวงร็อกแถวหน้าจากเกาะอังกฤษซึ่งโด่งดังมาตั้งแต่ปลายยุค 90 ด้วยผลงานเพลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Fix You, Yellow, The Scientist, Paradise, Hymn for the Weekend ซึ่งแต่ละบทเพลงล้วนมีเนื้อหาและแรงบันดาลใจที่แตกต่างหลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Coldplay โดยหนึ่งในซิงเกิลขึ้นหิ้งที่ฮิตและติดหูมากที่สุดคงต้องยกให้ Viva la Vida ซึ่งนับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Coldplay ทั้งในด้านการตลาดและเสียงตอบรับจากแวดวงคนทำเพลง
Viva la Vida เป็นภาษาสเปนแปลว่า Long Live Life ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดผืนผ้าใบชิ้นสุดท้ายของจิตรกรชาวสเปนชื่อก้องโลกอย่าง ฟรีดา คาห์โล ที่รังสรรค์ผลงานอันสื่อถึงการชื่นชมชีวิตแม้ขณะที่ร่างกายเจ็บปวด เพื่อสะท้อนเรื่องราวของตัวเธอเองขณะกำลังดิ้นรนกับโรคโปลิโอ กระดูกสันหลังแตก และความเจ็บปวดเรื้อรัง
โดยเธอได้พลิกความทรมานครั้งนี้ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการวาดภาพ ที่ส่งมาถึง คริส มาร์ติน นักร้องนำของวง ซึ่งกล่าวถึงฟรีดาว่า “เธอต้องแบกรับความเจ็บปวดมากมายก่อนจะเริ่มวาดภาพขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Viva la Vida ผมรู้สึกชอบความกล้าหาญที่อยู่ในนั้น”
Viva la Vida เป็นซิงเกิลลำดับที่ 2 จากสตูดิโออัลบั้มชุด Viva la Vida or Death and All His Friends (2008) ที่สมาชิกทุกคนในวงมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยเนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และตำนานของศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ยังมีกิมมิกตรงความเชื่อมโยงกับท่อนเพลงในแทร็กถัดไปอย่าง Violet Hill อีกด้วย
ผลงานชิ้นนี้กลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Coldplay โดยซิงเกิลไต่ขึ้นอันดับ 1 ทั้งบนชาร์ต UK Single ในอังกฤษ และชาร์ต Billboard Hot 100 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นซิงเกิลแรกของ Coldplay ที่ทำได้ ไม่เพียงเท่านั้น Viva la Vida ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 3 รางวัลแกรมมี่ และคว้ามาได้ 2 สาขา ได้แก่ รางวัลใหญ่อย่าง Song of the Year และ Best Pop Performance by Group with Vocals