วันนี้เมื่อ 25 ปีก่อนหรือ 19 กรกฎาคม 1996 คือวันที่ Trainspotting ภาพยนตร์สุดแนวที่นำเสนอเรื่องราวเละตุ้มเป๊ะของกลุ่มวัยรุ่นขี้ยาแห่งเมืองเอดินเบอระ เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาหลังเปิดตัวอย่างสวยงามที่สหราชอาณาจักร โดยมันถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ระดับปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมแห่งยุค 90 ที่ทุกวันนี้ผู้คนยังแซ่ซ้อง
Trainspotting กำกับโดย แดนนี่ บอยล์ ตัวเนื้อหาอ้างอิงจากนิยายชื่อเดียวกันของ ไอร์วีน เวลช์ บอกเล่าชีวิตไร้แก่นสารยุคเศรษฐกิจตกต่ำของแก๊งเพื่อนซี้แห่งเมืองเอดินเบอระ สกอตแลนด์ อันประกอบด้วย เรนตัน (ยวน แม็กเกรเกอร์), สปัด (อีเวน เบรมเนอร์), ซิกบอย (จอห์นนี ลี มิลเลอร์), ทอมมี (เควิน แม็กคิดด์) และ เบ็กบี (โรเบิร์ต คาร์ลิล) ที่วันๆ ไม่ยอมทำอะไรนอกจากพี้ยา ปาร์ตี้ มั่วเซ็กซ์
มันถูกชื่นชมจากหลายฝ่ายว่าเป็นภาพยนตร์ที่ตีแผ่แง่มุมเกี่ยวกับสิ่งเสพติดได้อย่างแยบยล ขณะเดียวกันก็ชวนให้คนดูได้ขบคิดถึงการ ‘เลือก’ ทางเดินชีวิตโดยไม่ตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิด อะไรคือสิ่งที่ดีหรือเลว ดั่งคติ ‘Choose Life’ ที่สาธยายตอนเปิดเรื่องและกลายเป็นบทพูดสุดคลาสสิกที่นักดูหนังยุค 90 จำขึ้นใจในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ตัวภาพยนตร์ยังโดดเด่นด้านงานวิชวล การตัดต่อฉับไวที่ร้อยเรียงเรื่องราววุ่นๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว รวมถึงการถ่ายภาพด้วยมุมกล้องหวือหวา แปลกประหลาด เพี้ยน ทำให้เกิดภาพจำมากมาย โดยเฉพาะฉากเรนตันมุดโถส้วมห้องน้ำที่โสโครกที่สุดในเมืองเพื่อลงไปงมหายา ซึ่งนับเป็นโมเมนต์เด็ดที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ยังคงถูกพูดถึงเรื่อยๆ
แม้ Trainspotting จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ทำเงินถล่มทลาย แต่ถ้าเอาทุนสร้างอันน้อยนิดเพียง 1.5 ล้านดอลลาร์มาเทียบกับจำนวนเงินที่มันทำได้ตลอดโปรแกรมฉายกว่า 72 ล้านดอลลาร์ (48 ล้านปอนด์) ซึ่งทำสถิติเป็นหนังฉายจำกัดโรงที่กวาดเงินมากสุดในอเมริกา
บวกกับความสำเร็จอย่างการถูกสถาบันภาพยนตร์อังกฤษจัดให้เป็นหนึ่งในหนังอังกฤษที่ดีที่สุดตลอดกาลและอื่นๆ ก็ถือว่า Trainspotting มาไกลเกินคาด แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคืออิทธิพลหลากหลายด้านของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ส่งผลโดยตรง และมีส่วนหล่อหลอมชีวิตเด็กวัยรุ่นหรือคนจำนวนมากที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับมัน
ภาพ: Channel Four Films