จากกรณีที่โฆษกของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) เปิดเผยกับ BBC ว่า อองซาน ซู จี ผู้นำของพรรคถูกจับตัวไป ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพ รวมถึงกระแสความกังวลว่าจะเกิดการรัฐประหารในเมียนมา
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าความกังวลดังกล่าวเป็นเพียงเซนทิเมนต์กดดันหุ้นบางส่วนในระยะสั้น โดยบริษัทส่วนใหญ่มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมาไม่มากนัก อย่างหุ้น PTTEP มีสัดส่วนรายได้ราว 12%
“ในกรณีของ PTTEP เรามองว่ายังมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนด้วยอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากดัชนี SET ปรับฐานลงไปถึง 1,440 จุด PTTEP ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่แนะนำเข้าลงทุน”
สำหรับการลงทุนของ PTTEP ในเมียนมามีแหล่งก๊าซธรรมชาติ 3 แหล่ง ได้แก่ ซอติก้า ยาดานา และเยตากุน ซึ่งถ้าสถานการณ์การเมืองในเมียนมามีความไม่สงบอาจจะมีผลต่อการดำเนินงานได้ ในกรณีเลวร้ายที่สุด ถ้าไม่สามารถดำเนินการต่อได้อาจจะกระทบต่อราคาเป้าหมาย 5-10 บาทต่อหุ้น
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่ากรณีความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมาถือเป็นเซนทิเมนต์เชิงลบกับหุ้นรายตัวที่มีรายได้ในเมียนมา แต่มองว่าไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก สำหรับหุ้นหลักๆ ที่มีรายได้ในเมียนมา เช่น CBG และ OSP มีสัดส่วนรายได้ราว 10% จากเมียนมา หรือหุ้นอย่าง MEGA ซึ่งมีรายได้จากเมียนมาเช่นกัน
“สำหรับหุ้นอย่าง CBG และ OSP รวมถึง MEGA ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก เพราะแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผู้คนก็ไม่น่าจะหยุดบริโภคสินค้าเหล่านี้”
นอกจากนี้หุ้นอย่าง PTTEP ซึ่งเพิ่งได้รับสัญญาสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติในเมียนมาเพิ่มเติมเมื่อปลายปี 2563 ในส่วนนี้แม้จะดูมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค แต่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้ถูกรวมเข้าในประมาณการของนักวิเคราะห์ และกว่าที่จะมีการดำเนินการจริงคือปี 2567
ขณะที่หุ้นอย่าง TTCL อาจจะมีผลกระทบมากที่สุด หากในกรณีเลวร้ายคือโครงการโรงไฟฟ้าที่เพิ่งทำสัญญาไปเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งในส่วนนี้ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
