เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนของสภาผู้แทนราษฎร ที่มี ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคก้าวไกล เป็นประธาน แถลงเปิดรายงานคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีเหตุความรุนแรงระหว่างการชุมนุมทางการเมือง วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งมีผู้ชุมนุมถูกกระสุนได้รับบาดเจ็บ 3 ราย บริเวณหน้าโรงพยาบาลตำรวจ
พ.ต.ต. ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หนึ่งในคณะทำงานของ กมธ. กล่าวว่า ความรุนแรงเกิดขึ้นบริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลตำรวจในช่วงที่มีการชุมนุมของประชาชน มีผู้ชุมนุม 3 รายได้รับบาดเจ็บจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) 1 ใน 3 บาดเจ็บสาหัสคล้ายถูกกระสุนปืนไม่ทราบชนิดเจาะเข้าไปที่หน้าอกฝังเข้าไปในร่างกาย ช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน มีนักข่าวและช่างภาพอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก แม้เป็นช่วงการชุลมุนสั้นๆ แต่มีภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่ายจำนวนมากเผยแพร่ต่อสาธารณะว่า เป็นการใช้อาวุธประจำกายของ คฝ. ยิงใส่ผู้ชุมนุมในระยะกระชั้นชิดอย่างน่ากลัว โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งสุ่มเสี่ยงและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนได้ จึงเป็นสาเหตุให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อศึกษากรณีดังกล่าว
คณะทำงานเห็นว่าหลักฐานจากภาพและคลิปในที่เกิดเหตุเพียงพอต่อการยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดได้ ภาพรวมของเหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครองในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ทำให้ต่อมาประชาชนหลายกลุ่มได้นัดหมายชุมนุมในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่มีการชุมนุม เวลา 12.50 น. เจ้าหน้าที่นำสิ่งกีดขวางมาปิดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าพื้นที่นัดหมาย ต่อมา เวลา 13.40 น. ผู้จัดจึงประกาศย้ายสถานที่ชุมนุมไปบริเวณสี่แยกปทุมวัน
เวลา 16.30 น. แกนนำได้ประกาศเคลื่อนขบวนไปสถานทูตเยอรมนีเพื่อยื่นหนังสือ ในระหว่างการตั้งขบวน มี คฝ. พร้อมอาวุธประจำกาย รถฉีดน้ำแรงดันสูง และรถตู้ขับออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำแผงเหล็กไปตั้งแนวกั้นขวางเส้นทาง ถนนพระรามที่ 1 บริเวณสี่แยกเฉลิมเผ่า เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้ชุมนุมเลี้ยวขวาไปยังถนนอังรีดูนังต์ โดยมีเป้าหมายคือสถานทูตเยอรมนี
“จุดที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าโรงพยาบาลตำรวจ ถนนอังรีดูนังต์ เวลา 17.10 น. เพียงไม่กี่นาทีที่ขบวนผู้ชุมนุมเลี้ยวเข้ามาก็เกิดเหตุชุลมุนขึ้น ความชุลมุนกินเวลาประมาณ 20 นาที มีการยิงกระสุนปราบจราจลมากกว่า 6 นัด มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน” พ.ต.ต. ชวลิต กล่าว
พ.ต.ต. กล่าวต่อไปว่า ผู้บาดเจ็บรายที่หนึ่ง ถูกกระสุนไม่ทราบชนิดยิงเจาะผ่านหน้าอกฝังในร่างกาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการวิกฤต ต้องรับการรักษาใน ICU นานกว่า 2 สัปดาห์ ออกจาก ICU วันที่ 12 ธันวาคม 2564 แต่ยังคงต้องรักษาอยู่ในห้องพักฟื้น มีไข้ขึ้นบางระยะ ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะได้รับผลกระทบจากการบาดเจ็บที่อก
รายที่สอง บาดเจ็บที่ร่างกาย 2 แห่ง คือ ไหล่ซ้ายและข้างลำตัวด้านซ้าย แผลมีลักษณะกลม มีรอยช้ำม่วงรอบแผล ค่อนข้างชัดเจนว่าเกิดจากกระสุนยางของเจ้าหน้าที่
รายที่สาม บาดเจ็บบริเวณไหปลาร้าขวา แผลกลมม่วงรอบๆ เกิดจากกระสุนยางเช่นกัน รักษาตัวใน ICU เพื่อพักฟื้น ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว
พ.ต.ต. ชวลิต กล่าวด้วยว่า คณะทำงานได้ตรวจสอบหลักฐานจากภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งของสื่อมวลชนขณะเกิดเหตุ 8 รายที่เผยแพร่ภาพบนช่องทางออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นภาพไลฟ์สดที่บันทึกในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก จึงไม่สามารถมีใครเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักฐานได้ จึงมีน้ำหนักที่โต้แย้งได้ยาก
จากการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเรียงตามลำดับเวลาดังนี้
ก่อนเกิดเหตุ คฝ. และหัวขบวนผู้ชุมนุมเจอกันบนถนนอังรีดูนังต์ โดย คฝ. เดินเป็นแถวหน้ากระดานถอยหลัง มีระยะห่างจากผู้ชุมนุมไม่มาก เมื่อแถวเจ้าหน้าที่ใกล้ประตูทางเข้าโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าหน้าที่เบนออกข้างทางเพื่อเตรียมถอยเลี้ยวเข้าประตูเพื่อเปิดทางให้ผู้ชุมนุมผ่านถนนอังรีดูนังต์ไปได้
ก่อนเกิดเหตุ 4.5 วินาที ภาพจับผู้ชุมนุมบริเวณแถวหน้า คือ ผู้ได้รับบาดเจ็บรายแรกขณะนั้นถือกรวยจราจรขึ้นเหนือศีรษะ
ก่อนเกิดเหตุ 3 วินาที ยังไม่มีเหตุลักษณะเปลี่ยนแปลง
ก่อนเกิดเหตุ 1.7 วินาที เจ้าหน้าที่ คฝ. คนหนึ่งทำการชี้มือมายังผู้ชุมนุมรายนี้ (มีภาพยืนยันจากหลายมุมมองประกอบ)
ก่อนเกิดเหตุ 1.2 วินาที คฝ. คนที่ชี้มือยกปืนประจำกายขึ้นประทับและเล็งไปยังผู้ถือกรวยจราจร
ก่อนเกิดเหตุ 0.1 วินาที ผู้ชุมนุมที่ถือกรวยจราจรเหวี่ยงกรวยจราจรกระทบพื้นถนน จึงเป็นอีกหลักฐานสำคัญว่า ผู้ชุมนุมคนนี้ไม่ได้นำกรวยไปฟาด คฝ. แต่เหวี่ยงลงพื้น
ก่อนเกิดเหตุ 0.33 วินาที ยังคงเห็นการเล็งปืนของเจ้าหน้าที่คนเดิม
ขณะเกิดเหตุ คฝ. คนที่ยกปืนประจำกายขึ้นเล็งได้ลั่นไกใส่ผู้ชุมนุม (ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส) เกิดแสงประกายไฟจากปากกระบอก พร้อมมีเสียงระเบิดดังและควันจากการตรวจสอบภาพเคลื่อนไหวของสื่อทุกสำนักประกอบ ไม่พบว่ามีเสียงระเบิดจากฝั่งผู้ชุมนุมก่อนที่มีประกายแสงจากปืนกระบอกนี้
“ข้อมูลนี้จึงขัดแย้งกับข้อกล่าวหาของ พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมขว้างระเบิดและข้าวข้องใส่เจ้าหน้าที่ในระยะประชิด หลังจาก คฝ. ยิงปืนใส่ฝูงชนแล้ว ปรากฏว่าผู้ชุมนุมได้กระจายออกด้วยความตกใจ ระหว่างนั้น คฝ. คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงยังใช้อาวุธปืนควบคุมฝูงชนยิงใส่ผู้ชุมนุมอีก 6 นัด สันนิษฐานว่าแผลของผู้บาดเจ็บรายที่ 2 และ 3 จากการยิงชุดนี้ และมีข้อสังเกตว่า แสงประกายไฟและกลุ่มควันจากปืน 6 นัดหลังมีน้อยกว่านัดแรกอย่างเห็นได้ชัด เสียงจุดระเบิดจะเบากว่า ส่วนผู้ชุมนุมคนที่เหวี่ยงกรวยจราจรลงพื้นและถูกยิง ได้ก้มวิ่งไปตามถนนแล้วล้มลง เห็นภาพกองเลือดในจุดที่ล้มและการปฐมพยาบาล” พ.ต.ต. ชวลิต กล่าว
พ.ต.ต. ชวลิต กล่าวด้วยว่า ข้อสรุปของรายงานฉบับนี้ มีดังนี้
หนึ่ง ผู้บาดเจ็บสาหัสเชื่อได้ว่าถูกยิงด้วยอาวุธปืนของ คฝ. ในระยะใกล้มาก เป็นกระสุนไม่ทราบชนิด ทำให้เกิดแสง เสียง และควัน ซึ่งการที่กระสุนเจาะทะลุอกได้ บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธที่มีพลานุภาพที่สามารถทำให้เป้าหมายเสียชีวิตได้
สอง เห็นได้ชัดว่าการกระทำของ คฝ. เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เป็นการใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธ ถึงแม้จะมีการชูกรวยจราจรแล้วเหวี่ยงลงบนพื้นถนน แต่ก็ไม่ได้มุ่งหมายทำอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บรายที่ 2 และ 3 ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนยางหลังจากรายแรกถูกยิงไปแล้วและมีการแตกฮือของผู้ชุมนุมก็เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุเช่นกัน เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่าทั้งสองคนมีพฤติกรรมหรืออาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้เลย
สาม จนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่กล่าวว่า ไม่มีการใช้กระสุนจริงในเหตุการณ์นี้ แต่ไม่เคยแสดงหลักฐานจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดผู้บาดเจ็บสาหัสรายนี้เลยว่า กระสุนที่พบในตัวคือกระสุนชนิดใด ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานทางการแพทย์และเก็บหัวกระสุนไปแล้ว เป็นข้อเท็จจริงที่น่าวิตกกังวลมากคือ ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวยังคงไม่ได้เห็นรายงานทางการแพทย์ดังกล่าว และสิ่งที่ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถามต่อการทำงานของตำรวจครั้งนี้คือ ประชาชนคงไม่มีทางได้เข้าถึงความยุติธรรม เพราะคู่กรณีในครั้งนี้คือตำรวจเองใช่หรือไม่
สี่ ต่อให้เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นการยิงกระสุนยาง แต่ผู้ที่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาอย่างดีย่อมรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ยิงใส่ประชาชนที่มาชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ กระสุนยางจะต้องยิงในกรณีที่ผู้ชุมนุมกำลังบ้าคลั่งหรือมีพฤติกรรมว่าจะทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่สามเท่านั้น และไม่มีสิทธิ์ยิงใส่ลำตัวผู้ชุมนุมในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ เพราะจะสามารถทำให้เสียชีวิต บาดเจ็บหนักหรือพิการได้ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ข้อมูลลึกลับชั้นสูง แต่เป็นความรู้ที่ประชาชนก็รับรู้ได้ทั่วไป การกระทำเช่นนี้จึงน่าจะเข้าข่ายการกระทำพยายามฆ่า
จากนั้น สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส. นครปฐม พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า
หนึ่ง ต้องชี้แจงต่อสาธารณะว่า ปืนที่ คฝ. ยิงใส่ผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นปืนยิงกระสุนยางหรือไม่ และต้องเปิดเผยรายงานทางการแพทย์ที่ระบุชนิดของกระสุนปืนและความรุนแรงของบาดแผลอย่างละเอียด หรือหากเป็นอาวุธยิงกระสุนยางปราบจลาจลจริง ปืนของเจ้าหน้าที่ทุกคนมีมาตรฐานเดียวกันหรือไม่
สอง การกระทำเกินกว่าเหตุของ คฝ. อาจเกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งหรือหลายปัจจัย เช่น เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีพอในการใช้อาวุธ หรือขาดความเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่สามารถชุมนุมอย่างสงบสันติได้ หรือเจ้าหน้าที่ใช้กำลังอย่างเกินเลยจนเป็นความเคยชิน รวมทั้งเชื่อว่าตนจะลอยนวลพ้นผิดจากการกระทำของตัวเองได้ เพราะตนกระทำตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งกดปราบการชุมนุมของประชาชนโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ หากปัจจัยเหล่านี้คือสาเหตุที่นำไปสู่ความรุนแรงในวันที่ 14 พฤศจิกายน รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจัดให้มีการอบรมเพื่อปรับทัศนคติโดยขอรับความช่วยเหลือจากนักวิชาการหรือนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สาม รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการอิสระที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สืบสวนสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุการกระทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจและป้องกันเหตุลักษณะเดียวกันที่อาจเกิดได้อีกในอนาคตอันใกล้
สี่ รัฐบาลต้องเร่งดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ที่กระทำเกินกว่าเหตุในเหตุการณ์นี้ รวมถึงผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละให้มีการกระทำความผิดเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำ