ประเด็นสืบเนื่องจากการหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งต่อมามีการสืบทราบภายหลังพบรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร รถต้องสงสัยในการพาอดีตนายกฯ หญิงเดินทางออกนอกประเทศทางชายแดนจังหวัดสระแก้ว โดยมี พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผู้บังคับการนครบาล 5 (รอง ผบก.น. 5) เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีครั้งนี้
จากเหตุการณ์ดังกล่าว พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ มีชะตากรรมที่ต้องเผชิญตามระเบียบ คือความผิดทางอาญา (ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157) และความผิดทางวินัยขั้นร้ายแรง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ตำรวจนำหมายค้นเข้าค้นบ้านอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ย่านซอยโยธินพัฒนา 3 เพื่อนำข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวไปตรวจเทียบดีเอ็นเอว่าตรงกับดีเอ็นเอที่อยู่บนรถยนต์ โตโยต้า คัมรี่หรือไม่
ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม ผลเทียบดีเอ็นเอออกมาว่า “ไม่สามารถเปรียบเทียบดีเอ็นเอได้ เนื่องจากดีเอ็นเอที่เก็บได้ในรถมีสิ่งเจือปนจำนวนมากเพราะที่นั่งด้านหลังอาจมีคนเคยนั่งหลายคน”
พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อไม่มีผลดีเอ็นเอที่เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีเพียงคำให้การเพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถดำเนินคดีกับ พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบได้ พร้อมสั่งการให้หาพยานหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติมแทน
เท่ากับว่า ‘พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์’ ยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญา แต่ยังต้องพบกับความผิดทางวินัยราชการ
ล่าสุดช่วงบ่ายวันนี้ (16 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีการประชุมคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเอาผิดทางวินัย พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์
โดยคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ ผิดวินัยร้ายแรง กรณีพาอดีตนายกรัฐมนตรีไปส่งที่ชายแดน เพราะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงผิดตาม ม.79 (6) ส่วนกรณีขับรถยนต์โตโตต้า คัมรี่ ซึ่งเป็นรถสวมทะเบียนปลอมนั้นกรรมการเห็นว่าไม่ถึงขั้นผิดวินัย
ขั้นตอนต่อไปคือ การสรุปสำนวนเสนอให้ พล.ต.ท. ชาญเทพ เสสะเวช รักษาราชการแทน ผบช.น. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงอีกครั้ง