วันนี้ (17 ตุลาคม) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดี 18 ผู้ต้องหา ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด หลังจับกุมตัวทั้งหมดได้วานนี้ (16 ตุลาคม) ว่า การขยายผลความผิดและเครือข่ายผู้ต้องหาเป็นเรื่องที่ตำรวจชุดสืบสวนและสอบสวนจะต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอน
รวมไปถึงการเก็บรวบรวมพฤติการณ์การกระทำความผิด เส้นทางการเงิน บัญชีของตัวผู้ต้องหาและรอบด้านที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวผู้ต้องหาที่จับกุมมาก่อนหน้าว่าจะให้ความร่วมมือต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากน้อยเพียงใด แต่ถึงแม้จะไม่มีการให้การที่เป็นประโยชน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องทำงานต่อให้ได้
ในการส่งต่อคดีนี้ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งทราบมาว่าขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาแล้ว พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตำรวจทำงานอย่างใกล้ชิดกับดีเอสไอเพื่อพิจารณาเงื่อนไขของคดี จำนวนผู้เสียหาย จำนวนทรัพย์สิน ฐานความผิด เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่ได้ส่งมอบ พนักงานสอบสวนจะสืบสวนสอบสวนขยายผลให้ถึงที่สุดก่อน การที่วานนี้ดีเอสไอตั้งคณะทำงานพิจารณา ตนเองเชื่อว่าเป็นการเตรียมพิจารณาว่าเรื่องนี้เข้ากับอำนาจหน้าที่หรือไม่
ทั้งนี้ ไม่อยากให้สังคมมองว่าเกิดการแย่งงานระหว่างหน่วยงาน เพราะแต่ละหน่วยงานต่างมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลที่แตกต่างกัน ยอมรับว่ารู้สึกดีที่แต่ละองค์กรที่มีหน้าที่เข้ามาช่วยกันพิจารณา เพราะสะท้อนว่าหน่วยงานราชการเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ถูกกระทำเป็นวงกว้าง หากแต่ละหน่วยงานนิ่งเฉย สิ่งนี้จะเป็นเรื่องไม่น่าสบายใจ
จากนี้หากคดีอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ และมีการร้องขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสนับสนุนช่วยเหลือ ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับการรับแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย ในอนาคตเป็นไปได้ที่จะมีอีกหน่วยงานที่ช่วยรับเรื่องนอกจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งจัดเป็นศูนย์รับแจ้งความอย่างไม่มีกำหนดเวลา
ปัจจุบันมีประชาชนแจ้งความจากกรณีดังกล่าวเข้าระบบแล้ว 1,100 ราย วันนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,300 ราย เพราะแต่ละวันจะมีข้อมูลเข้าสู่ระบบประมาณ 200-300 ราย
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวถึงกรณีที่สื่อโซเชียลส่งต่อภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่เครื่องแบบและให้ข้อมูลความรู้ในเชิงเป็นโค้ชของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ว่า ตนเองเห็นภาพแล้ว และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องดำเนินการสอบสวนแล้ว
จากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวมีสถานะเป็นโค้ช พรีเซนเตอร์ หรือเกี่ยวพันอะไรกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ และจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอะไรหรือไม่
หากพบว่ากระทำผิดจริงจะต้องลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา เนื่องจากเป็นข้าราชการตำรวจ รวมทั้งจะต้องถามว่าตัวของตำรวจนายนี้เอาเวลาที่ไหนไปทำแบบนี้ กระทบต่อเวลาราชการ เบียดบังเวลาทำงานให้พี่น้องประชาชนหรือไม่