วันนี้ (5 ธันวาคม) ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มใหม่เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ชักชวนให้ลงทุนและทำภารกิจภายใต้บริษัทปลอมที่ใช้ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP
พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บผบก.สส.บช.น.) ในฐานะหัวหน้าชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) (PCT) ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตามปกติจะอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จนสืบสวนทราบถึงสถานที่ตั้งก่อนนำกำลังบุกทลายภายในคอนโดย่านตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ มีผู้ร่วมขบวนการภายในห้องจำนวน 4 คน ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม
จากการตรวจสอบพบว่ารูปแบบการหลอกลวงเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งท้ายสุดหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้ยอมรับว่าได้นำความรู้ที่ได้จากการไปทำในประเทศเพื่อนบ้านกลับมาทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้ระดับอาจารย์ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากคนจีนแค่ 3% โดยวาดฝันไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start-up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือน ก็มาถูกจับเสียก่อน
ผลการตรวจค้นพบ สุรพงษ์ ปัญญาไว หรือ แบงค์ ผู้ต้องหา, ทิพวรรณ ปัญญาไว หรือ แหม่ม, สิริธร หมื่นโฮ้ง หรือ แสตมป์ และ คณิณัช จิรโชควนิช หรือ แฟง ทั้ง 4 คนอาศัยอยู่ภายในห้องพัก และตรวจค้นพบคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง สมุดบัญชี 5 เล่ม และซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม
จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 คนได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมคือจะสร้างเฟซบุ๊กปลอม (อวตาร) โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วชักชวนเพื่อนในเฟซบุ๊ก กล่าวคือเป็นการพูดคุยเชิงชู้สาวเพื่อชักชวนมาลงทุน โดยเมื่อเหยื่อสนใจจะเชิญเข้า ‘กลุ่มไลน์’ โดยอ้างเป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง และจากนั้นจะให้คุยกับอาจารย์กอล์ฟ ซึ่งเป็นตัวตนปลอมที่อุปโลกน์ตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลอกเสนอขายแผนโปรแกรมหลายๆ แบบ เช่น การท่องเที่ยว การแต่งงาน แล้วหลอกให้โอนเงินร่วมลงทุนตามแผนงานต่างๆ เหล่านั้น เหมือนเป็นการหลอกให้ทำภารกิจโดยอ้างว่าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จจะได้เงินคืนในจำนวนมากกว่าเดิม โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด
โดยจะมีการให้หน้าม้าแสร้งลงภาพสลิปการโอนเงิน ทำทีว่าได้รับเงินจริง แต่แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงินปลอม ซึ่งเมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงินโอนจริงจะเกิดความโลภและยอมโอนเงินลงทุนในที่สุด และเมื่อเหยื่อโอนเงินแล้วจะทำทีแสดงข้อมูลในโปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ โดยจะอ้างว่าเหยื่อทำผิดวิธีและจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ
โดยรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้เป็นรูปแบบเดียวกับหลายๆ แก๊งที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆ ไว้ในห้องๆ เดียว ด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน ซึ่งมีทั้งการทำระบบหลังบ้าน ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา ระบบแถว 1 ที่ชักชวนเหยื่อ การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop และอีกหลายขั้นตอน ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี
หลังเสร็จสิ้นการตรวจค้น ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาซักถามปากคำที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) เมืองสมุทรปราการ คณิณัช จิรโชควนิช หรือ แฟง ได้ให้การว่า
“ตนเองเคยเป็นพนักงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งทำจนมีความชำนาญมาก มีความรู้ระดับอาจารย์ แต่ละเดือนตอนอยู่กัมพูชาสามารถทำยอดเงินได้เดือนละเป็น 100 ล้านบาท ยอมรับว่าตัวเองคนเดียวสามารถทำงานได้เหมือนคนหกคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อทำไปเรื่อยก็เกิดความรู้สึกที่ว่าทำไมจะไปทำเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากบอสชาวจีนแค่ 3% จึงเกิดความโลภ คิดอยากทำเองเพื่อจะได้รับเงินเต็มๆ โดยระหว่างที่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชาก็ได้แอบเก็บข้อมูลรูปแบบสคริปต์ต่างๆ ของชาวจีน โดยได้เลือกรูปแบบที่คิดว่าสมบูรณ์แบบเก็บติดตัวไว้ และได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2565 จากนั้นก็ได้เริ่มทำในประเทศไทย โดยได้จ้างให้โปรแกรมเมอร์คนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชาเขียนโปรแกรมให้ ในราคา 60,000 บาท จากนั้นจึงได้ร่วมกับพวกที่อยู่ในห้องอีก 3 คน ทำด้วยกัน โดยส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากการหลอกลวง ตนเองจะได้ 30%, สุรพงษ์จะได้ 30%, สิริธรจะได้ 20% และทิพวรรณจะได้ 20% โดยหวังไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start-up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน”
ขณะที่ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามผู้เสียหาย โดยจะมีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับทั้งหมดตามกฎหมายในเรื่องการฉ้อโกงประชาชนต่อไป
ในชั้นจับกุม สุรพงษ์ ปัญญาไว หรือ แบงค์ ให้การว่า ตนเองเป็นพนักงานอยู่ในเว็บพนันชื่อว่า UFABET168.net โดยมีเจ้าของเป็นชายไทยที่มีฐานะคนหนึ่ง ซึ่งตอนอยู่ที่กัมพูชาได้รู้จักและเป็นแฟนกับคณิณัช ซึ่งตอนนั้นคณิณัชเคยทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ประเทศกัมพูชา และเอารูปแบบนั้นกลับมาทำที่ประเทศไทย โดยตนเองก็ร่วมทำด้วยกัน โดยหน้าที่ต่างๆ ก็จะช่วยกันทำทั้ง 4 คน และเมื่อได้กำไรก็จะนำมาแบ่งกัน
ด้าน พล.ต.ต. ธีรเดช กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีความน่ากลัว เพราะทั้ง 4 คนถือเป็นต้นเชื้อ เป็นระดับหัวกะทิ ที่นำความรู้ความสามารถจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านกลับมาตั้งต้นทำในประเทศไทย ซึ่งเราจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเกิดมาจากการวางรากฐาน วางระบบไว้อย่างดีของ ผบ.ตร. ซึ่งได้ทำไว้ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็นหัวเรือทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาเป็นเวลาหลายปี
ขอฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคนร้ายกลุ่มนี้ โดยสังเกตจากภาพอวตารที่ใช้หลอก สามารถแจ้งข้อมูลมาที่สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือศูนย์ ศปอส.ตร. 08 1866 3000
ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com
“ขอเตือนประชาชนคนไทยที่ว่างงานอยู่ กำลังตัดสินใจไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่ไปแล้วก็เป็นคอลเซ็นเตอร์ และเมื่อใดที่ไปเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว คุณจะกลับประเทศมาเยี่ยงอาชญากร มิใช่เหยื่อ” พล.ต.ต. ธีรเดช กล่าว