วันนี้ (17 สิงหาคม) พล.ต.ท. ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้าเมื่อวานที่ผ่านมา หลังจากที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและเคลื่อนที่ไปยังทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะกลับมาที่แยกสามเหลี่ยมดินแดงและมีเหตุปะทะกัน รวมทั้งป้อมจราจรได้รับความเสียหาย 4 แห่ง คือในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง, พหลโยธิน, สุทธิสาร และห้วยขวาง และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 13 คน เป็นเยาวชน 5 คน
นอกจากนั้นยังมีเหตุความวุ่นวายเกิดขึ้นบริเวณ สน.ดินแดง จนมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 3 คน โดยคนแรกอายุ 14 ปี ถูกยิงที่ไหล่ขวา คนที่สองอายุ 20 ปี มีวัตถุเป็นโลหะค้างที่บริเวณลำคอ กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี ส่วนอีกหนึ่งคนถูกโลหะเข้าที่บริเวณเท้า รักษาตัวที่โรงพยาบาลเพชรเวชและแพทย์ให้กลับบ้านแล้ว อยู่ระหว่างการติดตามตัวมาสอบสวน
พล.ต.ท. ภัคพงศ์ยืนยันว่า ชายอายุ 14 ปี ที่ถูกยิงบริเวณไหล่ขวา ได้สอบสวนบิดาของผู้บาดเจ็บเบื้องต้นแล้วให้การว่าน่าจะถูกยิงบริเวณโรงบำบัดน้ำเสีย ห่างจาก สน.ดินแดง ประมาณ 50 เมตร ส่วนชายอายุ 20 ปี ที่โลหะฝังอยู่ที่ลำคอ พบว่าวิ่งมาจากโรงแรมปริ้นซ์ตัน ผ่านหน้า สน.ดินแดง และมาล้มลงที่บริเวณโรงบำบัดน้ำเสีย
ส่วนกรณีมีภาพเป็นชายยืนอยู่บน สน.ดินแดง และใช้ปืนยิงควบคุมสถานการณ์ ยืนยันว่าเป็นตำรวจจริง แต่เป็นการใช้กระสุนยางยิงข่มขู่เพื่อป้องกันสถานที่ราชการ ไม่มีการใช้กระสุนจริง โดยช่วงบ่ายวันนี้ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปจำลองเหตุการณ์และตรวจวิถีกระสุนในระหว่างเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากระสุนที่ผู้บาดเจ็บถูกยิงมาจากทิศทางใด แต่ยอมรับว่าในพื้นที่มีการใช้กระสุนจริง แต่ไม่ใช่ของตำรวจ
สำหรับยุทธวิธีการควบคุมฝูงชนนั้นยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติตามแผน และเครื่องมือได้รับการอนุมัติจากมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่สามารถทำให้อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ผู้ชุมนุมมีอาวุธที่สร้างอันตรายกับตำรวจและตำรวจจะเริ่มตอบโต้เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ความรุนแรง มีการเผาทำลายสถานที่ราชการ และจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
ส่วนกรณีการแชร์ข้อมูลที่บอกว่าผู้ชุมนุมถูกกระป๋องแก๊สน้ำตาเข้าที่ใบหน้าจนทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น พล.ต.ท. ภัคพงศ์ยืนยันว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำหนังสือขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยรายละเอียดการรักษาและบาดแผลว่าเกิดจากอะไร พร้อมกับได้นำกระป๋องแก๊สน้ำตามาแสดงต่อสื่อมวลชนว่าส่วนที่เป็นโลหะเป็นปลอกกระสุน เมื่อหลังยิงไปแล้วจะค้างอยู่ในลำกล้อง ส่วนที่ยิงออกไปคือวัสดุคล้ายยางทรงกระบอกที่ภายในบรรจุแก๊สน้ำตา เมื่อกระทบกับร่างกายจะไม่เกิดอันตราย และหากพบว่าผู้ใดมีการแชร์ข้อมูลที่ผิดก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
สำหรับการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงปัจจุบัน มี 40 คดี ผู้ต้องหาเข้าข่ายความผิด 309 คน จับแล้ว 152 คน และกำลังสอบสวนผู้ที่กระทำความผิดเพิ่มเติม