วันนี้ (3 ตุลาคม) เวลา 16.10 น. ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 12/2568 ว่า ที่ประชุม สมช. มีการพิจารณาอยู่ประมาณ 2-3 เรื่อง ส่วนรายละเอียดนั้นให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้แถลง
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มว่า ในหลักการนั้นที่ประชุมอนุมัติกรอบในการสร้างรั้วตามแนวเขตชายแดนไทยกัมพูชา ขณะที่พิกัดต่างๆ กองบัญชาการกองทัพไทยจะนำไปดำเนินการว่าจะสร้างในช่วงไหน ซึ่งมีหลายรูปแบบในหลายจุด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ และความสะดวกของประชาชนในแถบนั้น ส่วนงบประมาณที่ใช้ในการสร้างนั้นให้เลขาธิการสมช. เป็นผู้แถลง โดยรั้วที่จะสร้างจะเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบใดนั้น ต้องบอกว่ามีหลายรูปแบบ บางส่วนเป็นรูปแบบนี้ หรือจะเป็นรูปแบบอื่น ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ รวมถึงความสะดวกของประชาชนในพื้นที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถึงมาตรการการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่หนองหญ้าแก้วและหนองภายในวันที่ 10 ตุลาคมนั้น อนุทินกล่าวว่า ต้องใช้กฎหมายที่ถูกต้อง คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และคำนึงถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา ซึ่งกองบัญชาการกองทัพไทยจะขอหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมยืนยันว่าจะไม่ใช้กำลัง เขาคือชาวบ้านทั่วไป ไม่ใช่กองทัพ เราต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตของคนที่ลำบาก ซึ่งมีทั้งเด็ก สตรี และคนชราด้วย เราจะพยายามใช้กฎหมาย เป็นไปตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนการประชุมเพื่อเจรจาหาทางออกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา จมและยังไม่เดินหน้าไปไหน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มันจะเริ่มไปไหนแล้ว”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากเริ่มไปไหนแล้ว อะไรคือความคาดหวัง นายกรัฐมนตรีกล่าว มีความคืบหน้าของการเจรจา อย่างสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้พูดถึงจุดยืนของประเทศไทย ที่ต่างชาติถูกทำให้เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งมีข้อเท็จจริงๅซึ่งจะนำไปสู่การเจรจาดำเนินการต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลหวังจะใช้ช่องทางของกระทรวงต่างประเทศ เป็นช่องทางในการเจรจามากกว่าใช้กำลัง อนุทิน กล่าวว่า ต้องไปคู่กันกองทัพก็ต้องพร้อม เมื่อเราไปบอกว่า เราไม่ใช่ผู้รุกราน แต่เราเป็นผู้ถูกรุกราน จึงต้องรักษาสถานะตรงนี้เอาไว้ว่าเราไม่ได้เป็นผู้รุกราน แต่เป็นการป้องกันอธิปไตยและแผ่นดินของเรา ทั้งนี้กองทัพยืนยันว่า มีความพร้อม ขณะที่รัฐบาล จะให้การสนับสนุนกองทัพ เห็นด้วยจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก ที่มีการสนับสนุนให้เกิดความพร้อมในการรักษาแผ่นดินของประเทศไทย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีมาตรการอะไรที่จะกดดันกัมพูชา ที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีการพูดคุย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ทุกวันนี้ก็เป็นการกดดันกลายๆอยู่แล้ว”
ส่วนท่าทีของกัมพูชาที่ตอบกลับมา หลังที่ไทยได้พูดบนเวทีนานาชาตินั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่เราได้ดำเนินการไปนั้น การตอบรับเราไม่ได้คุยกันตัวต่อตัว แต่การติดต่อเข้ามาของฝ่ายที่พยายามที่จะทำให้เกิดสันติภาพ ผู้นำประเทศต่างๆ ได้พยายามติดต่อเจรจาเข้ามาให้ดำเนินการอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ถือเป็นการตอบรับ บางครั้งแม้ไม่ได้พูดกันโดยตรงแต่ก็มีการสื่อสารที่ทำให้เราสามารถรับรู้รับทราบได้ว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้เดินไปสู่การตอบรับ และการดำเนินการใดๆ ทำให้สถานการณ์สองประเทศดีขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แต่ทางกัมพูชายังไม่ได้ตอบรับเรื่องการจัดทำแผนอพยพคน รวมถึงความร่วมมือในการเก็บกู้ระเบิด ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากเขาไม่ตอบ เราก็ไม่ตอบสนองอะไรเขา และถ้าสิ่งที่เขาพยายามให้เราดำเนินการอย่างนั้นอย่างนี้ รวมถึงให้ช่วยเปิดด่านนั้น เราก็ไม่ทำ ไม่อยากใช้คำว่ากดดัน เพราะทุกวันนี้เรากดดันมากอยู่แล้ว โดยหาวิธีที่ทำให้เห็นว่าเราพร้อม ถ้าเขาอยากจะอยู่แบบนี้ เราก็พร้อมแต่ถ้าอยากให้ชีวิตของประชาชนของเขาดีขึ้นต้องตอบรับเงื่อนไขของเรา
ขณะที่ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แถลงเพิ่มเติมผลการประชุม สมช. ว่า ในการประชุมวันนี้มีเรื่องสำคัญ คือการแก้ปัญหาความขัดแย้งไทยกัมพูชา ในหลักการได้เห็นชอบมาตรการ ต่อเนื่องจากมติสภาความมั่นคงแห่งชาติเดิมที่เคยทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการทหาร มาตรการด้านชายแดน การเปิดปิดจุดผ่านแดน การคุมคน-สินค้า ที่ยังคงดำเนินการอยู่ และเรื่องของการสื่อสารจะพยายามสร้างเอกภาพ
ขณะที่ด้านการต่างประเทศ ยังคงใช้การทูตเชิงรุก ที่สีหศักดิ์ได้ดำเนินการไปแล้ว ส่วนประเด็นเพิ่มเติมเรื่องของมาตรการเยียวยา จะทำให้ครอบคลุมกลุ่มที่อาจตกหล่นไป โดยจะมีอีกลักษณะผู้เสียชีวิตทางอ้อม คือผู้ที่มีความเครียดหรือกดดัน ที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสมช. เพิ่มนิยามความหมาย ดูแลกลุ่มคนดังกล่าว และที่ประชุมสมช. ยังมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ในการดูแลให้ความช่วยเหลือครัวเรือน ซึ่งมีผู้ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 2,000 ครัวเรือน
นอกจากนี้ ที่ประชุมสมช.ได้เห็นชอบร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ในช่วง 3 ปี 2568-2570 ตามวงรอบที่กฎหมายกำหนด เป็นนโยบายที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นนโยบายที่จะชี้ทิศทางด้านความมั่นคง และการพัฒนา โดยจะมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ 5 ภาษา เผยแพร่ไปทั่วโลก
ทั้งนี้ เพื่อจะสะท้อนว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้โดยยึดหลักสันติวิธี ทั้งมุมมองการพัฒนาด้านความมั่นคง รวมไปถึงกระบวนการพูดคุย ที่เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ ที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และหลังจากนั้นกฎหมายฉบับนี้ มีความพิเศษ ที่กำหนดให้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะเป็นขั้นตอนต่อไป
ขณะเดียวกันที่ประชุม สมช.ยังเห็นชอบ แต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้คนใหม่ คือ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีประสบการณ์แก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงอยู่แล้ว โดยจะมีการฟอร์มทีมงาน และองค์ประกอบต่างๆ เพื่อดำเนินการกระบวนการพูดคุยต่อไป ขณะเดียวกันในที่ประชุม สมช. วันนี้ไม่ได้มีการหารือเรื่องการตั้งประธานคณะกรรมการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC