วันนี้ (27 ตุลาคม) เวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการประชุมในวันนี้ว่า การมาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เหมือนกลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของนานาประเทศ ทำให้ไทยได้เห็นว่า ในการประชุมได้มีการพูดถึงประเทศไทย และให้เกียรติประเทศไทยในหลายด้าน
ตลอดจนมีการนัดพบหารือทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการหาแนวทางแสวงหาความร่วมมือและแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อกังวลของบางประเทศที่มีต่อประเทศไทย หากตรงไหนที่ไทยสามารถแก้ไขปัญหา ให้ได้ก็จะรีบนำกลับไปทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
ส่วนวงประชุมช่วงเช้าที่ได้มีการพูดคุยกับเกาหลี โดยได้พูดคุยเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งได้มีการขอความร่วมมือจากเกาหลีให้ช่วยเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นั้น อนุทิน กล่าวว่า ในรายละเอียดไม่ได้พูดกันถึงวิธีการ แต่จากการที่ได้พบกับประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการพบแบบเจอกัน ไม่ได้นั่งพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ว่าใครมีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านขณะนี้
ในส่วนที่ได้ทำความตกลงกับประเทศกัมพูชาเรื่องการแก้ไขปัญหาปราบปรามสแกมเมอร์ ก็เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ไทยจะต้องปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งเกาหลีใต้เชิญชวนขอให้มีการร่วมมือในเรื่องของการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ตนเองได้รับการทาบทามว่าจะมีการนัดพบจากเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ซึ่งกลับจากเอเปกจะไปพบกัน และทราบว่าหนึ่งในวาระที่จะมาพูดคุยมีเรื่องนี้ด้วย
ขณะที่ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมอาเซียนบวกสาม ปราบปรามสแกมเมอร์ เป็นข้อเสนอที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยนำเข้ามาอยู่ในถ้อยแถลงของไทยในที่ประชุมอาเซียน จะเน้นย้ำปัญหาสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่ทุกประเทศควรให้ความสำคัญในการปราบปราม เพราะทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสียหายจากปัญหาอาชญากรรมประเภทนี้
รวมถึงมีประเทศเพื่อนบ้านที่เชื่อว่า เป็นฐานของการสร้าง เป็นศูนย์กลางการประกอบอาชญากรรมประเภทนี้อยู่ ประเทศไทยจึงเสนอตัวที่จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ โดยประเทศไทยยินดีที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความตั้งใจจริง และมีความพร้อม ที่จะเข้ามาปราบปราม ในเรื่องอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้สิ้นซากเร็วที่สุด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุอีกว่า ที่ผ่านมา ได้รับรายงานจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ว่าได้ดำเนินการดำเนินคดียึดทรัพย์จับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมวงเงินกว่า 10,000 ล้านบาทแล้ว และมีหลายร้อยคดี สามารถจับตัวผู้ต้องหาและดำเนินคดีได้ รวมทั้งสืบหาเส้นทางเงิน เพื่อขยายผลให้ไปสู่นายทุนใหญ่ให้ได้ และเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ได้เซ็นเพิกถอนสัญชาตินายลี ยง พัด ที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และ ปปง. รายงานว่าเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ และมีเครือข่ายที่เชื่อได้ว่าใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงิน


