ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่าถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ได้เข้าสภาโดยมีฝ่ายค้านถ่วงดุล
ปิยบุตรขอให้นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณมีคำพูดครบถ้วนหรือไม่ เพราะฟังจากข่าวพระราชสำนักแล้วไม่ได้กล่าวคำว่า “จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อความถูกต้องจึงขอให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงยืนยัน
ปิยบุตรยังได้สรุปนโยบายชุดนี้ว่ามีลักษณะเด่น 3 ประการคือ เลื่อนลอย โลเล หลอกลวง
1. เลื่อนลอย คือผสมปนเปทุกเรื่อง จับยัดหมด ไม่ได้เจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีแต่คำสวยหรู แต่ไม่มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรม ไม่มีวิธีการว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาชิกอยากทราบที่สุด เพื่อที่จะได้วิพากษ์วิจารณ์ถูก
เช่น การแก้ไขปัญหาข้าวครบวงจร ซึ่งไม่ทราบว่าทำอย่างไร รวมถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนการทูตเชิงรุก ซึ่งก็ไม่ทราบวิธีการเช่นกัน
2. โลเล คือไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรกันแน่ เพราะหลายอย่างเขียนแย้งกันไปมา เช่น นโยบายเร่งทวงคืนผืนป่า แล้วก็จะจัดสรรให้ชาวบ้านอยู่กับป่าได้ แต่นโยบายการทวงคืนผืนป่าที่ผ่านมามีประชาชนติดคุกมากมาย แต่ไม่ทราบว่าจะผสานสองเรื่องนี้ให้ไปด้วยกันได้อย่างไร
รวมถึงการเกษตรก็ไม่ทราบว่าจะประกันราคาสินค้าเกษตรหรือประกันรายได้ รวมถึงเรื่องลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา แต่จะทบทวนรูปแบบการกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้เหมาะสม กล่าวคือเขียนแบบไม่รู้จะเอาแบบไหนกันแน่
3. หลอกลวง คือเราจำได้ดีว่าการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมามีนโยบายก้าวหน้าจำนวนมาก ซึ่งก็มีหลายพรรคเข้าร่วมรัฐบาล
ยกตัวอย่าง นโยบายเร่งด่วนข้อ 5 ตอนพรรคพลังประชารัฐหาเสียงเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท เด็กจบใหม่ปริญญาตรีเงินเดือน 20,000 บาท อาชีวะ 18,000 บาท รวมถึงงดเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏในนโยบาย
นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ก็ไม่ปรากฏในนโยบาย
ส่วนพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายกัญชาเสรี ให้ปลูกบ้านละ 6 ต้น แต่ในนโยบายเขียนแค่ให้ศึกษา ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ
เมื่อเทียบการเขียนนโยบายชุดนี้ยังแย่กว่ารัฐบาลสมัยท่านเป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหารเสียอีก
ปิยบุตรระบุว่าความผิดทั้งหมดต้องโทษไปที่ระบบคือรัฐธรรมนูญที่ทำให้มีพรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค แต่ยังเสียงปริ่มน้ำ
ด้วยกติกาทำให้การตัดสินใจทางการเมืองของพรรคการเมืองบิดเบือน เพราะหลายพรรคที่ประกาศไม่เอาการสืบทอดอำนาจ แต่ต้องเข้าไปร่วมรัฐบาล เพราะรู้ว่ามีเสียง ส.ว. 250 เสียง นโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรคจึงถูกนำมาใส่ไว้ให้ครบ มีแต่น้ำ หาเนื้อไม่เจอ ไม่มีนโยบายที่หาเสียงไว้
ปิยบุตรกล่าวต่อว่ารัฐบาลผสม 19 พรรคทำให้ประเทศเสียโอกาส เพราะมีโอกาสน้อยมากที่จะให้รัฐบาลผลักดันนโยบายที่ก้าวหน้าและสร้างสรรค์
คาดว่ารัฐบาลนี้จะผลักดันได้แค่นโยบายเฉพาะหน้า เน้นอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มคะแนนนิยม ไม่ผลักดันนโยบายก้าวหน้าเชิงโครงสร้างแน่นอน
ปิยบุตรยังกล่าวถึงนโยบายหลักที่ให้ไว้ 12 ด้าน
โดยเฉพาะการปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่อย่างยาวนานสถาพรได้ ต้องไม่นำสถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง หรือเปิดโอกาสให้กองทัพมายึดอำนาจโดยใช้ข้ออ้างเรื่องหมิ่นสถาบัน
ทั้งนี้มีแต่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงสถาพรและคงพระเกียรติยศ
ปิยบุตรยืนยันว่าพรรคอนาคตใหม่มีนโยบายปกป้องสถาบันพระมหากษตริย์ แต่จะต้องไม่นำมาใช้ทำลายล้างการเมือง
ทั้งนี้ประเด็นที่จะเสนอคือถ้าต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำแบบเดิมไม่ได้ แต่ต้องทำให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตย ต้องให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งมากกว่าการแต่งตั้ง
นอกจากนี้ยังเสนอให้มีนโยบายพานักโทษการเมืองที่ลี้ภัยกลับมา โดย
ย้อนไปเปรียบเทียบชื่นชมนโยบาย 66/23 สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเอาคนเหล่านี้กลับมาจากป่าจากการร่วมต่อสู้สมัยคอมมิวนิสต์ และที่ผ่านมาคนเหล่านี้ก็ร่วมพัฒนาประเทศ รวมถึงอยากให้รัฐบาลกำหนดให้ชัดว่าจะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อใด
ในช่วงท้าย ปิยบุตรกล่าวถึงนโยบายการสนับสนุนให้มีการศึกษา รับฟังความเห็นประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ทุกคนสนับสนุนเต็มที่ให้แก้รัฐธรรมนูญ เพราะขาดความชอบธรรมทั้งที่มาจากการรัฐประหารและเนื้อหาที่มีการแต่งตั้ง ส.ว. ให้ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และรับรองให้คำสั่ง-ประกาศ คสช. ที่เคยประกาศไปถูกต้องตามกฎหมาย จึงขออย่าให้รัฐบาลเขียนไว้แค่ให้พรรคร่วมรัฐบาลพอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะแก้หรือไม่แก้
“พวกเรามีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน แต่การแสดงออกของแต่ละท่านอาจจะแตกต่างกัน พวกเราไม่ได้มีความคิดล้มล้างอะไร ไม่ได้มีความคิดรุนแรง เราเพียงต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ระบบปกติ และออกจากความขัดแย้ง 13 ปี” ปิยบุตรกล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์