เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการประกาศเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE หลังบริษัทฯ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ONEE ว่า ได้รับแจ้งจาก พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ได้ขายหุ้น Big Lot ของบริษัทฯ จำนวน 596.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.05% ของหุ้นทั้งหมด ให้แก่ กลุ่มพิธาน องค์โฆษิต จำนวน 591.50 ล้านหุ้น หรือ 24.84% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท
โดยล่าสุดหลังดีลนี้ พิธาน องค์โฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE ที่คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นธุรกิจทีวีดิจิทัลที่กำลัง Sunset โดยพิธานอธิบายว่า หากเจาะลึกเข้าไปดูโครงสร้างธุรกิจ ONEE แบบลึกๆ จะเห็นว่าจริงๆ แล้วรายได้ของ ONEE ในปี 2566 ที่ผ่านมามีสัดส่วนการพึ่งพารายได้ที่มาจากการทำธุรกิจกลุ่มทีวีดิจิทัลที่ประมาณ 40% ซึ่งถือว่าเป็นการพึ่งพิงจากธุรกิจต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้
ขณะที่ธุรกิจของ ONEE กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือมีการกระจายหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตที่ดีในอนาคต เช่น กลุ่มธุรกิจจัดคอนเสิร์ต หรือการบริหารจัดการศิลปิน อีกทั้งยังมีธุรกิจที่ขยายตลาดไปต่างประเทศที่เป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่ม จากทั้งธุรกิจจัดคอนเสิร์ตในต่างประเทศ และการบริหารและการขายลิขสิทธิ์ละครและซีรีส์ไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ในต่างประเทศด้วย
รวมทั้งยังมีคอนเทนต์เดิมที่เคยผลิตไว้แล้วอีกจำนวนมาก ซึ่งมีโอกาสสามารถนำหยิบกลับมาใช้บริหารจัดการสร้างรายได้ใหม่ๆ ได้เพิ่มอีกในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นโอกาสในการลงทุน
ก่อนซื้อใช้เวลาศึกษาข้อมูล 4-5 เดือน
พิธานอธิบายว่า “การตัดสินใจเข้าลงทุนซื้อหุ้น ONEE จาก พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ นั้นมีการใช้ระยะเวลาศึกษาข้อมูลมาเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนก่อนการตัดสินใจในครั้งนี้ ซึ่งการลงทุนในหุ้น ONEE เป็นการลงทุนในนามของส่วนตัว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ KCE โดยผมมีนโยบายการลงทุนในหุ้น ONEE ในระยะยาว เพราะเห็นว่าธุรกิจจะมีแนวโน้มและโอกาสเติบโตได้ดีในอนาคต”
พิธานกล่าวต่อว่า หลังจากเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ ONEE ตนเองไม่มีแผนที่จะเข้ามาร่วมบริหารในบริษัท ONEE เนื่องจากต้องการเน้นโฟกัสให้ความสำคัญกับการบริหารธุรกิจของ KCE ที่ตนเองเป็นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ KCE ก็ถือเป็น Wealth หลักของตนเอง
อย่างไรก็ดี ตนเองได้มีการร่วมหารือพูดคุยกับ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ซึ่ง GRAMMY เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ปัจจุบันของ ONEE ในสัดส่วน 25.09% ซึ่งสอบถามว่า หลังจากที่ตนเองมาถือหุ้น ONEE แล้วจะเสนอชื่อส่งตัวแทนมาดำรงตำแหน่งกรรมการ (บอร์ด) ได้จำนวน 2 ตำแหน่งใน ONEE ตามโควตาของสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องนี้
ย้อนรอยเส้นทางก่อนซื้อหุ้น ONEE
จากการตรวจสอบข้อมูลของ THE STANDARD WEALTH พบว่า หากย้อนกลับไปก่อนดีลการซื้อหุ้น Big Lot บริษัท ONEE ของพิธานในครั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลงทุนใน ONEE เนื่องจากข้อมูลเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานรายชื่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 22 มีนาคม 2566 รายงานว่า พิธานลงทุนถือหุ้นใน ONEE อยู่ก่อนแล้วที่สัดส่วน 1.26% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 9
เปิดพอร์ต พิธาน องค์โฆษิต เฉียดหมื่นล้าน ถือหุ้นอะไรบ้าง
– ONEE จำนวน 591.50 ล้านหุ้น สัดส่วน 24.84% คิดเป็นมูลค่า 2,988 ล้านบาท
– AAV จำนวน 271.54 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.23% (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม 2566) คิดเป็นมูลค่า 614 ล้านบาท
– KCE จำนวน 164.75 ล้านหุ้น สัดส่วน 13.94% (ข้อมูล ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2566) คิดเป็นมูลค่า 6,138 ล้านบาท
มูลค่าพอร์ตหุ้นทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวที่พิธานถือหุ้นมีมูลค่ารวม 9,740 ล้านบาท
ขณะที่หากคำนวณจากราคาเฉลี่ยรายการหุ้น Big Lot ของหุ้น ONEE ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ราคา 3.80 บาทต่อหุ้น เปรียบเทียบกับราคาปิดการซื้อ-ขายภาคเช้าของวันนี้ (4 มีนาคม) ที่ 5.05 บาทต่อหุ้น ในช่วง 3 วันทำการราคาหุ้น ONEE บวกขึ้นมาถึง 33% จากราคาที่ทำ Big Lot ส่งผลให้เมื่อคำนวณแล้ว พิธานสามารถทำกำไรจากการลงทุนครั้งนี้ได้ถึงราว 751 ล้านบาทจากส่วนต่างราคาของหุ้นที่บวกขึ้นมาในครั้งนี้
หมายเหตุ: ราคาหุ้นที่ใช้คำนวณมูลค่าพอร์ตใช้ราคาปิดของการซื้อ-ขายภาคเช้าของวันที่ 4 มีนาคม 2567