วันนี้ (27 มิถุนายน) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้น โดยตอนนี้ตนไม่ได้กังวลเรื่อง ส.ว. เพราะแต่ละท่านคงมีดุลพินิจในการโหวตเลือก ดังนั้นหาก ส.ส. ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภา ส่วนตัวเชื่อว่า ส.ว. ก็คงจะโหวตให้ตามมติที่มาจากประชาชน จึงเชื่อว่าหาก ส.ว. ยึดหลักการให้มั่น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล
พร้อมยืนยันว่าตามที่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจากับ ส.ว. เป็นความจริง แต่คงมี ส.ว. เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้พูดคุยกับสื่อมวลชน ดังนั้นขอให้รอเวลาไปก่อน
เมื่อถามว่าความคืบหน้าในการเจรจากับ ส.ว. นี้ตีเป็นตัวเลข ส.ว. จำนวนกี่คน พิธากล่าวว่า เพียงพอสำหรับโหวตให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกับ ส.ว. นั้นก็มีด้วยกันหลายประเด็นที่เป็นข้อกังวลใจ จึงได้เน้นย้ำให้ ส.ว. ส่วนใหญ่ยึดหลักการโหวตนายกรัฐมนตรีแบบเดียวกับปี 2562 กล่าวคือ หากสภาผู้แทนราษฎรรวมเสียงข้างมากได้ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องฝืนมติของประชาชน
อย่างไรก็ตาม พิธาไม่ได้ตอบคำถามว่าได้พูดคุยประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อถามถึง ส.ว. ส่วนใหญ่ที่ยังมีปัญหากับนโยบายแก้ไขมาตรา 112 พิธายืนยันว่าการแก้ไขมาตรานี้มีการพูดคุยอย่างกว้างขวางในสังคมตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง และยังถือเป็นทางออกของสังคมไทย เพราะที่ผ่านมาการใช้มาตราดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง รังแกเยาวชนคนเห็นต่าง ไม่เป็นผลดีกับสถาบันใดเลย
“และการจะรักษาสิ่งที่เรารักคือให้มีการแก้ไขตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นที่ทำให้เส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลสะดุดลง แต่เมื่อมีข้อมูลหลายฝ่ายอาจจะมีการเข้าใจผิด ย้ำว่าแก้ไขคือแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก และเมื่อได้พูดคุยกับ ส.ว. ก็เข้าใจกันมากขึ้นว่าในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประมุขก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับประเทศไทยในยุคที่เปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ”