×

พิธาถามรัฐบาลเหตุใดต้องทำประชามติยกเลิก MOU ทั้งที่มีกลไกประชุมลับของรัฐสภา สงสัย ครม. เห็นตรงกันหรือไม่

โดย THE STANDARD TEAM
10.10.2025
  • LOADING...
pita-referendum-mou43-44-parliament-role

วันนี้ (10 ตุลาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าจัดให้มีการออกเสียงประชามติถามประชาชนว่าเห็นควรให้ยกเลิกข้อตกลง MOU43-44 ระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ โดยระบุว่า ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทำไมเรื่องนี้จึงใช้กลไกของรัฐสภาไม่ได้ เมื่อวาน (9 ตุลาคม) ฟังที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ใช้กลไกของสภาฯ ถามกระทู้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็คิดว่าตอบยาก เพราะต้องหาความเข้าใจร่วมกันในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน 

 

พิธากล่าวต่อไปว่า เข้าใจว่าเป็น ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนโยนประเด็นขึ้นมา และไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นด้วยหรือไม่ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็เริ่มสื่อสารเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือข้อเท็จจริงของ MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็นอย่างไร

 

พิธามองว่า เรื่องที่หนึ่ง ในระดับมหภาค รัฐบาลต้องชี้แจงกันให้ชัดว่าเรื่องแบบใดใช้กลไกรัฐสภา โดยการประชุมลับ เรื่องแบบใดจึงทำประชามติ เพราะถ้าสมมติเป็นเรื่องสุดโต่งแล้วถามประชามติหมดเลย สุดท้ายแล้วกลไกรัฐสภาไม่ต้องมีเลยใช่หรือไม่ ญัตติไม่ต้องยื่นแล้วหรือไม่ ไม่ต้องมีกรรมาธิการในการศึกษาแล้ว 

 

“ดังนั้น เรื่องแรกระดับมหภาค ต้องบอกให้ได้ว่า เงื่อนไขของรัฐบาลชุดนี้คิดอย่างไร เงื่อนไขไหนที่ใช้กลไกรัฐสภาในการหาทางออกให้กับประเทศ กลไกไหนใช้ประชามติ ไม่เช่นนั้นก็จะลักลั่นกันแบบนี้ตลอดไป” พิธากล่าว

 

พิธาระบุอีกว่า เรื่องที่สอง ระดับจุลภาค คือความเป็นเอกภาพสมานฉันท์กันของ ครม. ว่าสิ่งที่ ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ พูดนั้น รัฐมนตรีคนอื่นที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยหรือไม่

 

ส่วนข้อกังวลว่าอาจจะเป็นการเปิดเผยความลับของประเทศให้กัมพูชารู้หรือไม่ พิธากล่าวว่า เพราะเหตุนี้จึงมีการประชุมลับ เพราะเรื่องแบบนี้มีวิธีการแก้ไขปัญหาได้หลายสัดส่วน มีการทำให้ประชาชนได้รับความเข้าใจหลายสัดส่วน ก็ควรที่จะเบาไปหาหนัก ไม่ใช่เริ่มต้นที่การทำประชามติเลย

 

สำหรับข้อกังวลว่าข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติจะออกสู่สาธารณะมากขึ้นนั้น พิธาระบุว่า นั่นคือเรื่องของการรณรงค์ในการทำประชามติ แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตยของชาติ แต่หากมีการประชุมในกรรมาธิการ มีการยื่นญัตติ หรืออย่างที่สุดคือเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ก็มีกลไกการประชุมลับอยู่ ก็สามารถรักษาสัดส่วนระหว่างความมั่นคงของชาติ และความเข้าใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี

 

เมื่อถามว่า มองอย่างไรหาก ครม. ใช้อำนาจในการยกเลิก MOU โดยตรง พิธาตอบว่า ก็ต้องมาตอบคำถามของตนเองในข้อแรกว่า ใช้เงื่อนไขไหนมาบอกว่า เรื่องนี้ทำประชามติ เรื่องนี้ใช้รัฐสภาแก้ไข 

 

“แต่ผมยังหาเกณฑ์ชี้วัดตรงนี้ไม่เจอ ในหัวพอมีคิดอยู่บ้าง แต่อยากจะฟังจากทาง ครม. และนายกรัฐมนตรีก่อนว่าอย่างไร” พิธากล่าว

 

แนะนายกฯ วางยุทธศาสตร์ระยะยาวบนเวทีโลก

 

ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะถึงนี้ ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจมาร่วมด้วยนั้น นายกรัฐมนตรีควรมีจุดยืนอย่างไรในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา พิธาระบุว่า เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน ถ้าเรานำอธิปไตยและมนุษยธรรมของประเทศมาเป็นที่ตั้ง และทำงานย้อนกลับมาว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความผาสุกของพี่น้องประชาชนในระยะยาวได้บ้าง โดยที่เราสามารถกำหนดอนาคตของเราเองได้ โดยไม่ให้ประเทศไหนมาผลักหรือชักจูงเราได้ คิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดยืนที่สำคัญ

 

ส่วนกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอตัวเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชานั้น พิธากล่าวว่า ถ้ามองเป็นสถานการณ์ภาพรวม ตอนนี้ก็มีเรื่องอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อยู่ รวมถึงเรื่องรัสเซีย-ยูเครน จึงคิดว่าต้องดูเกมยาวหน่อย ว่าในระยะยาวสิ่งที่เกิดขึ้นยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ และยังคงไว้ซึ่งอำนาจของแต่ละประเทศหรือไม่ ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เป็นจุดที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หนึ่งที่เกิดขึ้น อินเดีย-ปากีสถาน ก็เป็นอีกที่หนึ่ง เราก็ต้องดูในระยะยาว และกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ

 

“ถ้าเรามียุทธศาสตร์ของเราเป็นตัวตั้ง จุดแข็ง จุดอ่อน ขีดจำกัด โอกาสของเรา ที่เป็นหนึ่งในอาเซียน เศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก สามารถจะเป็นสะพาน หรืออำนาจขนาดกลางที่สามารถเชื่อมโยงสู่ระเบียบของโลกใหม่ได้อย่างไรบ้าง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เจอปัญหาอะไรก็จะง่าย แต่ถ้าเราไม่รู้อะไร ก็จะโดนโยนไปโยนมาอย่างที่เคยเป็นมา” พิธากล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising