วันนี้ (10 ตุลาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน โดยระบุว่า เป็นการเมืองเฉพาะกิจ มีนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ ที่เข้าสู่อำนาจแบบเฉพาะกิจ ต้องหาสัดส่วนที่สมดัลระหว่างการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง กับการทำตามสัญญาให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งคิดว่าฝ่ายค้านมีกลไกในการควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ให้เป็นไปตามข้อตกลง เช่น การอภิปรายนโยบาย ซึ่งเห็นว่าทำได้ดีพอสมควร
พิธายืนยันด้วยว่า พรรคประชาชนไม่ใช่ฝ่ายค้ำ และได้พิสูจน์ผ่านการอภิปรายเรื่องสำคัญไปแล้ว ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็ได้ใช้กลไกสภาตรวจสอบรัฐบาลอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่ต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ให้ทำตามคำสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพราะแบรนดิงของพรรคภูมิใจไทยคือ “พูดแล้วทำ” ถ้าพลิกไปมา ก็ห่วงว่า แบรนดิงของพรรคจะไม่ได้ใช้อีกในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
“สิ่งที่น่ากังวลสำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือน่าจะเน้นบ้านเมืองมากกว่าการเมือง และอย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง เพราะฉากทัศน์ต่างๆ มาจากหลายเรื่อง ทั้งการต่างประเทศ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” พิธากล่าว
ส่วนการที่พรรคประชาชนทำข้อตกลง หรือ MOA กับพรรคภูมิใจไทยจะไว้ใจได้มากเพียงใดนั้น พิธากล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเองว่าจะทำตามสโลแกน ของพรรคเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ หรือจะเสี่ยงในระยะสั้นเพื่อที่จะสูญเสียความเป็นตัวตนของพรรคในระยะยาว และขึ้นอยู่กับพรรคประชาชนว่า จะใช้กลไกตรวจสอบได้ดีที่สุดหรือไม่
“หากตอบแบบส่วนตัว ที่สื่อตั้งฉายาว่าพรรค ‘ภูมิใจดูด’ แต่ตอนนั้นที่ดูดผมมา แพ้ผมหมดเลยนะ คนที่โดนดูดก็จะต้องรู้ว่า มีแผลทางการเมืองตลอดชีวิต ประชาชนก็จะลงโทษ ส่วนตัวแล้วในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ไม่มีความกังวล เพราะเป็นคนละยุทธภูมิกัน ยุทธภูมิของเราทำงานแบบ ล่างขึ้นบน ในขณะที่ส่วนใหญ่ทำแบบบนลงล่าง คนที่ต้องกังวลคือ คนทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ ใช้กลไกข้าราชการเดินเกมการเมืองมากกว่า”
พิธาชี้ว่า พรรคประชาชนที่ทำการเมืองแบบล่างขึ้นบน ปัญหาอยู่ที่การตั้งสมาธิกับตนเอง ต้องแก้ปัญหาของตัวเอง หาแคนดิเดตให้ดี หายุทธศาสตร์ที่ดี และสื่อสารทางการเมืองมากขึ้น ไม่ต้องสนใจโพลหรือสถิติ ขอให้มีสมาธิ พร้อมย้ำว่า ไม่ใช่ฝ่ายค้ำแน่นอน จะต้องกู้ภาพลักษณ์ด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่จะตัดสินใจอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรรคประชาชน
“ถึงแม้การตัดสินใจของพรรคประชาชนอาจไม่สมบูรณ์ ผมก็พอเข้าใจได้จากสิ่งที่ผมเคยผ่านมา ตอนนี้ผ่านไปแล้ว กลับไปแก้อะไรไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ให้ได้มากที่สุด และคอยเตือนนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาว่า เป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ ที่มาจากอำนาจเฉพาะกิจ เพื่อภารกิจเฉพาะกิจ” พิธากล่าว
ช่วงท้าย พิธาแซวอนุทินด้วยว่า “ซักผ้าเสร็จแล้ว กลับมาตอบคำถามสื่อมวลชนด้วย”
แนะพรรคประชาชนหวังผลเลือกตั้งเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มตั้งเป้าตัวเลขเก้าอี้ สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พิธาประเมินว่า หากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ตนเองดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคให้ความสำคัญกับเชิงคุณภาพ มากกว่าเชิงปริมาณ
“ตอนนี้ถ้าคิดในเชิงปริมาณ ในสภาฯ จะต้องมี สส. เป็น 1,000 กว่าคน บางพรรค 200 บางพรรค 80 บางพรรคก็ 250 อะไรก็แล้วแต่ ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าในเชิงคุณภาพเหมือนสมัยพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ต้องการเพียงพรรคที่มีฐานเสียงเฉพาะในบางภูมิภาค ต้องการมี สส. ครบทุกเขต มี สส. เขต มากกว่าบัญชีรายชื่อ เพราะเราต้องการเป็นพรรคมวลชน ก็อยากเชิญชวนพรรคประชาชนให้คิดแบบนี้” พิธาระบุ
คาด ป.ป.ช. ชี้มูลคดี 44 สส. ช่วงใกล้ยุบสภา
สำหรับคดี 44 อดีต สส. พรรคก้าวไกล เสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมชี้มูลปลายปีนี้ พิธามองว่า การที่นักการเมืองและประชาชนมีจริยธรรมเป็นเรื่องดี แต่การเอาจริยธรรมมาประหัตประหารทางการเมืองตลอดชีวิตนั้นไม่ถูกต้อง หากไม่ได้สัดส่วน มีตำรวจจริยธรรม แต่ไม่มีใครไปตรวจสอบตำรวจจริยธรรม ก็อาจจะเป็นอันตรายกับประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้ต้องถาม นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งเป็นหัวหน้าในการสู้คดีนี้
พิธาเผยว่า ส่วนตัวได้ตรวจสอบกับทีมกฎหมายของตนเอง คดีนี้อยู่ในชั้นอนุกรรมาธิการใน ป.ป.ช. น่าจะเสร็จสิ้นในชั้นนี้ภายในเดือนพฤศจิกายน มีความเป็นไปได้ที่จะมีการชี้มูลในช่วงการยุบสภา หากยุบสภาเร็ว และมีการเลือกตั้งในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคประชาชนจะถูกทำลายอีกครั้ง เหมือนพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่
“ผมเองไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่หลายคนยังเป็นแกนนำพรรค จึงอยากส่งเสียงถามประชาชนดังๆ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีข่าวออกมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามีใครให้ข่าว ไม่รู้ว่าเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของพรรคประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ หรือตั้งใจจะทำลายล้างกันจริงๆ โดยใช้จริยธรรมที่ไม่ได้สัดส่วน เพราะคนที่ตรวจสอบจริยธรรมไม่มีใครไปทำลายดาบเขาได้ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก” พิธาระบุ
เมื่อถามว่าให้คำแนะนำนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เกี่ยวกับคดี 44 สส. และการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เป็นตัวของตัวเอง มองไปข้างหน้าให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น