×

พิธาแถลงคดียุบพรรค ชี้ กกต. กำลังสร้างความสองมาตรฐาน ทำผิดขั้นตอน ส่ง ‘ก้าวไกล’ ขึ้นทางด่วน ไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงก่อนส่งศาล

โดย THE STANDARD TEAM
30.06.2024
  • LOADING...
พิธา แถลง คดี ยุบพรรค ก้าวไกล กกต. สองมาตรฐาน

วันนี้ (30 มิถุนายน) ที่อาคารอนาคตใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้าการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกลว่า จากการแถลงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2567 พรรคก้าวไกลมีข้อต่อสู้ทั้งหมด 9 ข้อ ในประเด็นว่าด้วยเขตอำนาจและกระบวนการ ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ โดยเน้นย้ำในประเด็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, คำวินิจฉัยที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันกับการพิจารณาคดีนี้ และโทษยุบพรรคเป็นมาตรการสุดท้ายที่ใช้เมื่อจำเป็นฉุกเฉินและไม่มีวิธีแก้ไขอื่น

 

ส่วนการแถลงในวันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าต่อเนื่อง พิธากล่าวว่า ตนจะขอเน้นย้ำถึงกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนการยุบพรรคมีสองมาตรฐาน เพราะ กกต. อ้างว่า ในกรณีของพรรคก้าวไกลใช้แค่มาตรา 92 ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้ เพราะมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทั้งที่มาตรา 93 เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องต่อเนื่องจากมาตรา 92 ถ้าตีความอย่างเคร่งครัดคือไม่สามารถใช้แยกกรณีกันได้ ถ้าใช้แยกกรณีกันเมื่อใดหมายความว่ามีสองมาตรฐานในการยื่นยุบพรรคทันที 

 

บางพรรคที่อยากให้เร็วก็ใช้เฉพาะมาตรา 92 แต่พรรคใดที่อยากให้ช้าหน่อยก็ใช้มาตรา 92 ประกอบกับ 93 ถ้าปล่อยให้ใช้แยกกันย่อมหมายความว่าจะเป็นการส่งพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน แต่พรรคอื่นไปทางธรรมดา เป็นสองมาตรฐานที่ต้องตั้งคำถามว่า กกต. สามารถใช้ดุลพินิจเช่นนี้โดยไม่ต้องมีการถ่วงดุลและมีส่วนร่วมได้ด้วยหรือ 

 

พรรคก้าวไกลจึงยืนยันว่า กกต. ไม่สามารถตีความมาตรา 92 แยกออกจากมาตรา 93 ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสองมาตรฐานทันที ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน และทุกพรรคการเมืองควรได้รับสิทธิในกระบวนการที่ กกต. กำหนดขึ้นมาเอง โดยต้องเปิดโอกาสให้พรรคที่ถูกร้องได้รับทราบข้อเท็จจริงและต่อสู้ทางกฎหมายในชั้น กกต. ไม่สามารถปล่อยให้การยุบพรรคมีสองช่องทางได้

 

ขณะเดียวกัน เมื่อมาตรา 93 ระบุว่า กกต. ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กกต. จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา 92 และ 93 ขึ้น โดยสรุปได้ว่าต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องมีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งด้วยหลักฐานในชั้น กกต. ซึ่งระเบียบดังกล่าวทำให้คดียุบพรรคก้าวไกลกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่เกิดขึ้นก่อนการออกระเบียบดังกล่าวไม่เหมือนกัน

 

เรื่องนี้ถูกตอกย้ำโดยเอกสารคำอธิบายกระบวนการที่ กกต. จัดทำขึ้นมาเองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ระบุว่า ในกระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้รับทราบและมีโอกาสโต้แย้งพยานหลักฐานในชั้น กกต. ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีทางด่วนและทางธรรมดา ทุกอย่างต้องลงมาในกระบวนการเดียวกันทั้งหมด ไม่มีข้อใดที่ระบุว่า เพียง ‘มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า’ ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องโต้แย้งในชั้น กกต.

 

พิธากล่าวต่อไปว่า การทำคำร้องยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้ กกต. มีวัตถุคดีชิ้นเดียวคือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ ด้วยเหตุว่าเป็นคนละข้อหากัน เพราะคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นข้อกล่าวหาตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีปัจจุบันเป็นข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 และ 93 

 

นอกจากจะคนละข้อหากันแล้ว ความหนักของโทษก็ต่างกันคือ สั่งให้เลิกการกระทำกับสั่งให้ยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค การที่ กกต. ออกมาแถลงว่าคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าและเป็นวัตถุคดีเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้โต้แย้ง จึงเป็นวัตถุคดีที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

 

พิธาแถลงต่อไปถึงความคืบหน้าล่าสุด ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน 7 วัน เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญสำหรับใช้ในการนัดพิจารณาครั้งถัดไปคือวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 และการนัดคู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 กรกฎาคม 2567

 

โดยมี 2 คำถามที่พรรคก้าวไกลได้รับมาคือ 

 

  1. พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งต่อ กกต. ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นพิจารณาของ กกต. หรือไม่

 

  1. การกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่

 

โดยคำถามข้อที่ 1 คำตอบคือ ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสได้รับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งในชั้น กกต. จะเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคก้าวไกลจะเรียกร้อง กกต. ให้ทำตามกระบวนการ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดหน้าที่ให้พรรคต้องโต้แย้งในกรณีที่ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการ

 

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่มีความคล้ายคลึงกันคือ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ 15/2553 ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยยกคำร้องเพราะ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้ว ด้วยเหตุว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นส่งไปยัง กกต. ซึ่งเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่น้อยกว่ากระบวนการยุบพรรคก้าวไกลวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ศาลก็ยกคำร้อง

 

“ความผิดเพียงเล็กน้อยศาลยังยกคำร้อง ดังนั้นในกรณีของพรรคก้าวไกลที่ กกต. ข้ามขั้นตอน ปิดโอกาสในการชี้แจง ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่มากกว่า ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้นว่าควรยกคำร้อง” พิธากล่าว

 

ส่วนในคำถามที่ 2 พรรคก้าวไกลตอบไปว่า พรรคไม่สามารถตอบต่อศาลในชั้นนี้ได้ เพราะข้อกล่าวหาคำว่า ‘การกระทำเป็นการล้มล้างและอาจเป็นปฏิปักษ์’ เป็นคนละข้อกล่าวหากับคดี 3/2567 ที่กล่าวหาว่า ‘ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ’ เพียงอย่างเดียว

 

อย่างไรก็ตามพรรคก้าวไกลยืนยันว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ แต่ในเมื่อเป็นคนละข้อหาและเป็นประเด็นใหม่ ก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้น กกต. ให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน แต่ในเมื่อ กกต. ปิดประตูใส่ พรรคก้าวไกลก็ไม่มีโอกาสได้ไปชี้แจง ไม่มีช่องทางในการท้วงติง และในเมื่อเป็นประเด็นใหม่และขอบเขตใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยกระบวนการใหม่เท่านั้น

 

“ถ้าเกิดมันมีสองมาตรฐานแบบนี้ได้ ถ้า กกต. อยากยุบพรรคไหนเป็นพิเศษก็ส่งขึ้นทางด่วน ใช้มาตรา 92 อย่างเดียว พรรคไหนไม่อยากยุบเร็ว อยากประวิงเวลาให้ ก็ส่งไปทางธรรมดา ใช้มาตรา 93 เข้ามาช่วย คุณเลือกใช้แบบนี้ไม่ได้ มันทำให้เกิดความสองมาตรฐานในประเทศไทย รวมถึงไม่สามารถบอกว่าคดีนั้นจบก็ถือว่าเอาคดีนั้นมาผูกพันกับคดีนี้ ถือเป็นหลักฐานอันเชื่อได้ว่า ซึ่งเป็นเรื่องดุลพินิจล้วนๆ เรื่องที่โทษรุนแรงขนาดนี้ไม่สามารถที่จะใช้ดุลพินิจโดยไม่มีการถ่วงดุลได้” พิธากล่าว

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X