วันนี้ (18 พฤษภาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง, ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม และ เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ แถลงข่าวประกาศตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ซึ่งจากผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ มีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน
พิธากล่าวว่า พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ เสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน
ทุกพรรคขอประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ด้วยความเคารพในฉันทมติของประชาชน ดังนี้
- ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน
- ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
- ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้แบบไร้รอยต่อ
หลังจากนั้นเปิดให้สื่อมวลชนถามคำถาม โดยพิธาให้ความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและโดยราบรื่น จำนวน 313 เสียง มีความเพียงพอและเป็นความปกติของระบอบประชาธิปไตย
ขณะนี้ คณะทำงานทั้ง 2 ทีม ได้แก่ คณะเจรจาและคณะเปลี่ยนผ่านอำนาจ ได้เตรียมการวางแผนในหลายรูปแบบว่าจะมีฉากทัศน์ใดเกิดขึ้นบ้าง แต่ละฉากทัศน์จะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงพิจารณาว่าจุดยืนและนโยบายของทุกพรรคการเมือง จะทำงานร่วมกันอย่างไรโดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง กระบวนการทั้งหมดจะคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและการมีส่วนร่วมของทุกพรรคการเมือง เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จลุล่วง ทุกพรรคการเมืองสามารถสานต่อนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน
สำหรับความเห็นของ ส.ว. หลายคนที่ออกมาแสดงจุดยืนว่าจะโหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรนั้น พิธากล่าวว่าขอขอบคุณ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร แต่เป็นเรื่องของระบบ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงจุดยืนในการแก้ไข ม.112 พิธาระบุว่า จุดยืน ม.112 ในช่วงก่อนเลือกตั้งมีการดีเบตและพูดคุยกันเยอะแล้ว มีความชัดเจนครบแล้ว ซึ่งแต่ละพรรคได้พูดถึงจุดยืนร่วมกันแล้ว
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ว่าไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม.112 นั้น มองว่าเป็นเรื่องของภูมิใจไทย เพราะพรรคที่อยู่ตรงนี้มีเอกภาพ มีจุดยืนในการจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้ไม่มีความห่วงใย ตอนนี้กำลังจัดทำ 2 คณะ คือคณะกรรมการที่จะใช้ร่วมรัฐบาล และคณะกรรมการที่เปลี่ยนผ่านอำนาจ และการแถลงข่าววันนี้ไม่ได้มีเนื้อหา MOU เพราะจะแถลงวันที่ 22 พฤษภาคม แต่มาแถลงหลังหารือกันเมื่อวาน ส่วนเรื่อง ม.112 ขอให้รอฟังรายละเอียดวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
ผู้สื่อข่าวยังถามถึงกรณีถ้าเสียงโหวตในสภาแล้วไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะทำอย่างไร พิธาตอบว่า เนื่องจากขณะนี้มีกรรมการ 2 คณะ และได้วางแนวทางไว้หลายรูปแบบ เพื่อลดความเสี่ยงในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ได้กังวลใจ พร้อมยืนยันว่าคะแนนโหวตจะผ่านแน่นอน
ส่วนการทำความเข้าใจกับ ส.ว. ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการที่ตั้งมา
ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีพรรคอื่นมาร่วมอีกหรือไม่นั้น พิธาตอบว่า ขึ้นอยู่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะเป็นผู้พิจารณา โดยจะพิจารณาในเรื่องจุดยืน นโยบาย ที่ทำร่วมกัน ซึ่งจะเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง และต้องคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาล โดยตนเองก็ไว้วางใจคณะกรรมการ ซึ่งเป็นตัวแทนของทุกพรรค เป็นการทำงานแบบทีมเวิร์ก
พิธายังบอกอีกว่า 313 เสียงเป็นไปตามระบบประชาธิปไตยที่เพียงพอ การตามหาอีก 60 กว่าเสียงยังไม่ได้เป็นเรื่องที่จะต้องทำในตอนนี้ และย้ำว่ายังมั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยจะมีตัวเลขที่เหมาะสม และมีเสถียรภาพ หาจุดตรงกลางให้ได้ และพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยยืนยันจะเหนียวแน่นกลมเกลียวไม่ปล่อยมือกันแน่นอน
ส่วนเนื้อหา MOU นั้น จะเป็นหลักการจะทำให้มีความครอบคลุมมิติการเมือง ปากท้อง และมิติของประเทศ
พิธายังตอบคำถามเรื่องการจัดสรร ตกลงเก้าอี้รัฐมนตรีด้วยว่า ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการพูดคุยเรื่องของเก้าอี้ว่าต้องได้กระทรวงไหน แต่เอาวาระของประชาชนมาเป็นตัวตั้ง และเอาปัญหาประชาชนมาเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยมาดูว่ากระทรวงไหนจะทำงานร่วมกันให้เป็นเอกภาพได้ ทำงานเป็นองคาพยพเดียวกันได้เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดคุย และคงจะมีอัปเดตความคืบหน้าทุกๆ สัปดาห์ จนกว่าจะตั้งรัฐบาลได้ เพราะถ้าเอากระทรวงเป็นตัวตั้งก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการร้องเรียนคุณสมบัติของตัวพิธาที่เกิดขึ้นว่าอาจจะมีเสียงแตก กังวลหรือไม่ พิธาตอบว่า ไม่กังวล แต่ก็ไม่ประมาท เพราะการเมืองต้องเตรียมตัวว่ามีมิติไหนบ้าง และการเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องพร้อมให้ตรวจสอบและพร้อมเตรียมรับผลกระทบเหล่านั้น
ส่วนผลโหวตของ ส.ว. ก็เป็นเรื่องยินดี หากจะมีการโหวตให้ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นการเห็นถึงระบบประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุด
โดยหลังจากพิธาตอบคำถามเสร็จสิ้น แกนนำของแต่ละพรรคก็ได้พูดถึงการร่วมจัดตั้งรัฐบาล
เริ่มที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงสนับสนุนให้หัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งความหวัง ความฝันให้ประชาชน ก่อนระบุว่าจะให้ตนพูดอีกกี่ร้อยครั้งก็จะยืนยันแบบนี้
นพ.ชลน่านบอกถึงแนวทางการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ว่าทุกเรื่องจะนำมาประกอบทั้งหมด อีกทั้งเงื่อนไขหลักยกเป็นหน้าที่ให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอ ส่วนจุดใดร่วมกันได้ไม่ได้ หรือจุดใดต้องแก้ไข คงจะต้องมีการหารือกันก่อน ส่วนประเด็น ม.112 ที่หลายคนมองจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่านบอกว่า เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่คงจะมีการพูดคุยกัน แต่หากมีการลงนามข้อสรุปกันแล้ว ถือว่าทุกคนทุกพรรคเห็นทางออกร่วมกันได้
นพ.ชลน่านยังยืนยันจะทำภารกิจให้สำเร็จคือการผลักดันคะแนนเสียงในรัฐสภาให้ถึง 376 เสียง ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง เราต้องช่วยกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของประชาชน
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่า พรรคไทยสร้างไทยได้พูดเป็นสัญญาประชาคม ว่าสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเดินตามครรลองประชาธิปไตย เมื่อพรรคก้าวไกลได้ฉันทมติจากประชาชน พรรคไทยสร้างไทยยังย้ำว่า ยืนยันตั้งแต่วันแรกว่าจะยกมือสนับสนุนให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนข้อตกลงเรื่องนโยบายยังไม่ได้เริ่มนับ 1 หลังจากนี้จะตั้งคณะทำงานร่วมกัน โดยขอยืนยันว่าการทำนโยบายจะทำเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าการแบ่งกระทรวง เพราะตนเป็นคนหนึ่งที่มองว่าหากเป็นรัฐบาลเพื่อแบ่งกระทรวงในการทำมาหากินก็ไม่จำเป็นต้องมาเป็นรัฐบาล แต่มุ่งหมายทำเพื่อประชาชน ต้องการให้ประเทศไทยไปยืนอยู่บนแผนที่โลกให้ได้
สำหรับจุดยืน ม.112 นั้น พรรคไทยสร้างไทยชัดเจนว่าต้องรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังนั้น การจะทำอะไรให้สถาบันฯ เสื่อมเสียนั้นต้องปกป้อง ส่วนการที่มีผู้มีอำนาจมาใช้ ม.112 กลั่นแกล้ง ทำลายบุคคล ต้องนำมาพิจารณา เพื่อปกป้องสถาบันฯ ไม่ให้ใครนำไปเป็นอำนาจทำร้ายคนอื่น
ส่วนการจะลงรายละเอียดของจุดยืนแต่ละพรรคต้องคุยกัน ไม่ใช่เพียง ม.122 แต่ทุกนโยบาย
ด้าน วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ระบุว่า พรรคประชาชาติเราเคารพในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนคนไทยทุกคน การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ประชาชนได้มอบและให้ความไว้วางใจและพรรคก้าวไกลมีเสียงข้างมากที่สุดของพรรคการเมืองทุกพรรค ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประชาชนต้องการผู้นำรัฐบาลที่มาจากพรรคก้าวไกล และด้วยความเคารพคะแนนเสียงของประชาชน พรรคประชาชาติจึงขอสนับสนุนพิธาในการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคประชาชาติยินดีให้ความร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ให้สำเร็จ และอยากเรียกร้องทุกฝ่ายให้ความเคารพต่อการตัดสินใจของประชาชนในประเทศนี้ ถ้าเราไม่เคารพเสียงการตัดสินใจของประชาชน เราก็จะติดกับดักปัญหาเดิมๆ ที่ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างาม
จึงอยากให้ทุกฝ่ายทั้ง ส.ส., ส.ว. และข้าราชการ คำนึงถึงพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดว่าเขาตัดสินใจอย่างไร และต้องการอะไร เพื่อเราจะได้เดินไปข้างหน้าไปด้วยกัน เพราะปัญหาวิกฤตของประเทศมีมากมายทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก จึงไม่อาจอยู่กับปัญหาเดิมๆ ได้ เราจะรักใครชอบใคร แต่เราต้องรักประชาชน ถ้าเราไม่รักประชาชนปัญหาเดิมๆ ก็จะกลับมาอีก และอยากให้ประชาชนให้กำลังใจพวกเรา เพื่อให้พวกเราทำงานให้กับประเทศ เพื่อให้รอดพ้นกับวิกฤตในครั้งนี้ให้ได้
และที่พิธาพูดเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจร่วมกัน แม้วันนี้จะยังไม่มีรายละเอียดที่ตัดสินใจร่วมกัน แต่วันที่ 22 พฤษภาคม ท่านจะเห็นแสงที่จะก้าวไปข้างหน้า และขอฝากความหวังนี้ให้กับทุกคน
ขณะที่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า เวลาลงไปหาเสียงก็จะบอกว่าให้ประชาชนเลือกพรรคเสรีรวมไทยทั้งคนทั้งพรรค เพื่อที่จะรวมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศชาติ ซึ่งขณะนี้ผลการเลือกตั้งก็ออกมาแล้วว่าพี่น้องประชาชนสนับสนุนพรรคก้าวไกลมาบริหารประเทศ โดยมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นตนจะเปลี่ยนคำพูดหรือคิดอย่างอื่นก็คงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องยืนยันตามเจตนารมณ์ของตนและพี่น้องประชาชนที่จะให้พรรคที่มีเสียงข้างมากได้จัดตั้งรัฐบาล โดยหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ
วันนี้มาแสดงตัวตนต่อหน้าสื่อมวลชนว่าพรรคเสรีรวมไทยสนับสนุนก้าวไกล และให้พิธาเป็นนายกฯ วันนี้ต้องการแค่มาประกาศจุดยืนร่วมกันทั้ง 8 พรรค เพื่อสนับสนุนพิธาเป็นนายกฯ เท่านั้น ประเด็นอื่นยังไม่ถึงเวลาที่จะชี้แจง แม้จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันแล้ว เราก็ต้องทำงานร่วมกัน แต่ในบางประเด็นที่ไม่ตรงกันต้องคุยกัน