วานนี้ (31 พฤษภาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ทวีตข้อความระบุถึงการเข้าหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่า
“วันนี้ ผมและทีมงานพรรคก้าวไกลได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำโดยคุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยสภาพเศรษฐกิจไทยถือว่าอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของความท้าทาย เราจะตามโลกไม่ทัน หรือเราจะเดินหน้าสร้างอนาคตใหม่ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่สุดของเมืองไทย”
พิธาระบุว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ว่าพิจารณาจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยหรือรายได้ต่อหัว ดังนั้นเป้าหมายของพรรคก้าวไกลในการบริหารเศรษฐกิจ คือทำให้ในอีก 4 ปีข้างหน้า ไทยอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยโลก มีเศรษฐกิจที่เติบโตควบคู่กับการลดความเหลื่อมล้ำ
“เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาเน้นการส่งออก พึ่งพาเศรษฐกิจโลกมากเกินไป เมื่อวันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป เช่น วิกฤตโควิด หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้หลายประเทศเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในประเทศ แต่เมื่อดู SMEs ซึ่งถือเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ จะเห็นว่า SMEs ไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าช่วงก่อนโควิด จากช่วงก่อนโควิดปี 2562 สัดส่วนของ SMEs ต่อ GDP อยู่ที่ 35.3% ในปี 2565 ยังอยู่ที่ 34.9% แม้ตัวเลขดูไม่มาก แต่มูลค่าที่หายไปนั้นมหาศาล”
ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกล ผมย้ำว่าต้องเดินหน้า 3F ในระดับมหภาค
- Fast-Forward Growth เสริมเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่
- Fair Game สร้างกติกาและกลไกภาครัฐเพื่อเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
- Firm Ground วางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มั่นคง
พร้อมกันนั้น เราต้องส่งเสริม SMEs ไปด้วยกันผ่านนโยบาย 5 ต. 1. แต้มต่อ เช่น หวยใบเสร็จ 2. เติมทุน เช่น ทุนสร้างตัว รายละ 100,000 บาท 3. ตัด Cost เช่น SMEs นำค่าแรงขั้นต่ำหักภาษีได้ 2 เท่าเป็นเวลา 2 ปี 4. เติมตลาด เช่น กำหนดชั้นวางสินค้า SMEs ในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และ 5. ตั้งสภา SMEs ให้มีอำนาจต่อรองเทียบเท่าทุนใหญ่
“เศรษฐกิจไทยวันนี้ ไม่สามารถทำเหมือน 40 ปีที่ผ่านมา แทนที่จะให้เศรษฐกิจไทยเป็นแบบหัวโต-ตัวลีบ เราต้องเปลี่ยนให้เกิดความสมดุล ไม่หวังพึ่งพาต่างประเทศหรือการส่งออกเท่านั้น แต่ต้องสร้างความเข้มแข็งจากในประเทศ ทำให้คนไทยเท่าเทียมกันและทัดเทียมโลก สร้างงานซ่อมประเทศไปด้วยกันครับ”
อ้างอิง: