วันนี้ (18 กันยายน) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรคท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองว่า ในลำดับแรก ขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป
สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน
▪️มอง MOA แลกนายกฯ ขัดหลักการ ยอมรับไม่ได้
พีระพันธุ์ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือ มีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน
“สำหรับผมเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล” พีระพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ พีระพันธุ์ยังมองว่า วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้มีความเห็นว่า ไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัว เคารพและรักท่านอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง
ต่อมา ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ซึ่งได้ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้น จึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย
“สำหรับผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” พีระพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ดี ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้น พีระพันธุ์ได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. พรรค พีระพันธุ์มองว่า เมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น
ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับ สส. ในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
พีระพันธุ์เปิดเผยว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากท่านอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนท่านอนุทิน
ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส.
โดย สส. ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกท่านอนุทิน 33 เสียง ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป
▪️พรรคไม่ถูกซื้อ ไม่หวังเป็นนายกฯ
พีระพันธุ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ขอยืนยันในส่วนของตนว่า ไม่มีทางโดนซื้อเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่า ตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อตนเองในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้ว เมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว แต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก จึงยืนยันได้ว่า เรื่องที่ว่ามานี้ไม่เป็นความจริง และส่วนตัว ถ้าจะได้รับเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องมีศักดิ์ศรี ซึ่งแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางที่มีศักดิ์ศรี
พีระพันธุ์เปรียบว่า พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จ มีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อหรือไม่ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้
“ส่วนตัวผมไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ ก็เท่านี้ ผมจะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ผมติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ผมคิดว่าแนวทางการทำงานของผมแบบนี้ที่ทำให้ผมเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้” พีระพันธุ์กล่าว
▪️คาดผลักดันกฎหมายพลังงานอาจไม่สำเร็จทัน 4 เดือน
พีระพันธุ์กล่าวต่อไปในเรื่องของการแก้ไขเรื่องของพลังงานว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานของตนนั้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟที่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ และค่าแก๊สแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไร ได้เท่านั้น และหากเดินหน้าต่อไปจนครบวาระ ขอยืนยันว่าราคาน้ำมันจะสามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคงไม่ใช่ของเอกชน
สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายต่างๆ นั้น กฎหมายฉบับแรกคือกฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ หวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ในส่วนของกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายคลังน้ำมันนั้น กฎหมายฉบับแรกคือการควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย และกฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กัน เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ
พีระพันธุ์ยังยืนยันว่า จะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้
พีระพันธุ์ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทุกด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยทางพรรคพร้อมที่จะหาตัวแทนที่พร้อมจะเดินหน้า สู้ให้ทุกปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน และเรื่องของความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตนเชื่อว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูดแล้วเราทำ และเราเดินหน้าทำงานตลอดเวลา
“ทุกคนที่สนใจร่วมอุดมการณ์และเดินหน้าทำงานตามแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือพรรคที่มาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคของคนทำงาน หากใครมีแนวทางเดียวกันขอเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกันครับ” พีระพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย