“ทำไมบนโลกนี้ คนดีๆ ไม่มีที่ให้ยืน ทำไมคนไม่ดีมีที่ให้ยืนอยู่นาน อยากฝากไปถึงทางกระบวนการที่ทำกับบิลลี่ว่า ถ้าเป็นครอบครัวเขาหรือญาติพี่น้องเขา เขาจะคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ทำไมเขาถึงทำกับบิลลี่ได้ถึงขนาดนี้ จิตใจเขาไม่ใช่มนุษย์แล้วใช่ไหม”
นี่คือความรู้สึกในใจของ มึนอ-พิณนภา พฤกษาพรรณ ที่เปิดใจล่าสุดกับ THE STANDARD กรณีดีเอสไอแถลงความคืบหน้าคดี บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ว่าเสียชีวิตแล้ว โดยเขาเป็นสามีของเธอ และพ่อของลูกอีก 5 คน
ระหว่างเธอเผยความรู้สึกด้วยตนเองที่ศาลาประชาคม บ้านป่าเด็งใต้ ตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี คราบน้ำตาและความรู้สึกอัดอั้น ไม่อาจห้ามให้เธอต้องปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกมา นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ประชาชนผู้ลุกขึ้นมายืนหยัดต่อสู้เพื่อผืนดินและผู้คนอันเป็นที่รัก จะมีชะตากรรมชีวิตเช่นเดียวกับเรื่องราวของบิลลี่
5 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัวบิลลี่พร้อมรถจักรยานยนต์ และน้ำผึ้งของกลางไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่มึนอภรรยาของบิลลี่และญาติเชื่อว่าเขาหายสาบสูญไปโดยถูกบังคับสูญหาย
มึนอกลายเป็นที่รู้จักของสังคมไทยในฐานะภรรยาของนักสู้เพื่อชาติพันธุ์ บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย ตำบลแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
ประเด็นการหายตัวไปของสามี และกิจกรรมการต่อสู้ของเธอกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับสากล ที่องค์กรต่างๆ ในประเทศและต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการเคลื่อนไหว
3 กันยายน 2562 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวความคืบหน้าของคดีนี้ หลังดีเอสไอมีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นกรณีการหายตัวไปของบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ เป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
สรุปสาระสำคัญของการแถลงข่าวได้ว่า จากการตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน สามารถตรวจพบชิ้นส่วนกระดูก จำนวน 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ถัง เหล็กเส้น จำนวน 2 เส้น ถ่านไม้ จำนวน 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นได้ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการตรวจพิสูจน์พบว่า
“วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับ โพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของพอละจี รักจงเจริญ”
เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ (Crime Scene) พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “พอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี”
“ได้รู้ว่าบิลลี่เสียชีวิตไปแล้ว ได้รู้ว่าอยู่ที่สุดท้ายที่แก่งกระจาน อยากถามไปถึงกระบวนการที่ทำบิลลี่ว่าบิลลี่ไปทำอะไรผิด เขาถึงเอาชีวิตบิลลี่ไป อยากให้คนที่ทำออกมาชี้แจง บอกครอบครัว ญาติพี่น้องว่า ทำไมต้องเอาตัวบิลลี่ไป เพราะอะไรถึงต้องเอาชีวิตบิลลี่ไป” มึนออธิบายความรู้สึกพร้อมตั้งคำถามหลังได้รับทราบการแถลงข่าวของดีเอสไอเมื่อวานนี้
มึนอบอกว่า “คิดไว้แล้วว่าบิลลี่น่าจะไม่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่วันแรกที่ถูกคุมตัวไป” เธอขยายความว่าถ้าบิลลี่ไม่เลือกที่จะทำงานแบบนี้ ไปทำงานอย่างอื่นคงจะมีชีวิตอยู่ได้
ภาพคุณแม่ของมึนอและรถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่เธอใช้เป็นยานพาหนะมาพบกับเราในวันนี้
มึนอ เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่มีลูกถึง 12 คน แต่พี่ๆ และน้องๆ ของมึนอล้มป่วยและเสียชีวิตจากไป เหลือเพียงพี่ชายของมึนอ 2 คน และตัวมึนอเอง เธอโชคดีที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา เรียกว่าเป็นแม่สมัยใหม่ เธอจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ทำให้มีความรู้พอจะสอนลูก 5 คนของเธอได้บ้าง
“เด็กๆ ก็จะติดตามข่าวตลอด เขาก็รู้ว่าพ่อเขาถูกคุมตัวไป แต่ไม่รู้ว่าคนร้ายจับตัวไป เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ” มึนอบอกเล่าถึงความรับรู้ถึงพ่อของลูกๆ ทั้ง 5 คน
มึนอขยายความอีกว่า คนทั้งคนหายไป ไม่ได้ไปเที่ยวในป่า เอารถเครื่องลงป่าเข้ามาในเมือง แล้วก็หายไปเกือบ 5 ปี “ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างที่คิด แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดไว้
“ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้ แต่พอเมื่อวันที่เห็นข่าวก็รู้สึกว่า บนโลกนี้ทำไมถึงมีคนที่โหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้
“เพราะเราไม่ใช่คนใหญ่คนโต หรือเราเป็นผู้น้อยเขาเลยไม่เห็นคุณค่าของเรา ที่ผ่านมาเหมือนคนทำงานก็เข้าข้างคนกระทำความผิด น้อยใจในความเป็นคนดี ว่าเป็นไปได้ยังไงที่คนทำความดีแล้วไม่ได้ดี แต่คนชั่วกลับอยู่ได้นาน
“บิลลี่จะบอกตลอดว่า ถ้าเขาเข้าไปช่วยปู่ (ปู่คออี้ หรือโคอิ มีมิ) จะทำให้ฝ่ายรัฐที่เกี่ยวข้องไม่พอใจเขา เขาบอกว่าวันใดวันหนึ่งระหว่างเดินทางไปไหนมาไหน แล้วเขาหายตัวไป ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องคิดมาก ให้รู้แต่ว่าถูกฆ่าไปนานแล้ว พอเขาหายตัวไปก็เลยเชื่อว่าเขาถูกฆ่าตั้งแต่วันแรกแล้ว
“เขาสั่งไม่ให้ตามหาเขา ไม่ให้เป็นห่วงเขา หนูทำตามที่เขาขอไว้ไม่ได้ คือคนทั้งคน เขาเป็นคน ขนาดสัตว์ยังมีความหมาย ทำไมชีวิตคนถึงไม่มีความหมาย”
มึนอบอกว่า เธออยากจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ และจะเรียกร้องความยุติธรรมให้เขา ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงที่ไม่อยากเจอ แต่ก็จะตามหาความยุติธรรมให้ถึงที่สุด มึนอได้คุยกับสามีครั้งสุดท้ายคือกลับมาเล่นสงกรานต์ที่บ้านในปีนั้น หลังจากนั้นเขากลับไปที่ อบต. และกลับไปหาแม่ที่ห้วยแม่เพรียง แก่งกระจาน เขาไม่ได้บอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร ทราบอีกทีคือพี่ชายของบิลลี่โทรมาบอกว่าบิลลี่หายไป ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อพยายามติดต่อไปหาเพื่อนก็ได้คำตอบว่าไม่มีใครพบเห็นเขาเลย
มึนอมองความยุติธรรมหลังการแถลงของดีเอสไอว่า “เชื่อมั่นมากขึ้นนิดหนึ่ง” มึนอบอกว่า อยากน้อยก็รู้สึกว่าเรายังมีโอกาสได้รับความยุติธรรมบ้าง ก็จะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
มึนอฝากถึงเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดีนี้ว่า “อยากฝากให้เขาเอาคนที่ทำจริงมา โดยที่ไม่ใช่แพะ คนที่ทำก่อกรรมไว้ก็ขอให้กรรมตามสนอง” เธอย้ำว่าตัวการที่ทำบิลลี่ ต้องออกมาชี้แจงให้เข้าใจ และต้องรับโทษไปตามกฎหมาย
ส่วนที่ผ่านมานั้นดีเอสไอได้ติดต่อเข้ามา และบอกความคืบหน้าทางโทรศัพท์เป็นระยะ หรือเรียกเราไปให้ข้อมูล
5 ปีที่มึนอลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องสิทธิของเธอและครอบครัว เธออยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ภาครัฐ เข้าใจวิถีชีวิตชาติพันธุ์ของพี่น้องชาวกะเหรี่ยง อยากให้ยอมรับและเข้าใจถึงสิทธิที่พวกเราควรได้รับ อยากให้เลิกอคติกับพวกเราชาวชาติพันธุ์
“ถ้าเป็นคนที่ประสบแบบตัวเรา อยากบอกให้เขาทำใจตั้งแต่แรก ตั้งแต่รู้ว่าบิลลี่ถูกควบคุมตัว ถ้ามัวแต่โศกเศร้าเสียใจมันก็ทำร้ายเรามากกว่าเดิม จะได้ลืมเรื่องตรงนี้ไป
“คิดกับตัวเองว่า เราไม่ได้ไปทำอะไรเขา เราก็คิดดีทำดี ทำในสิ่งที่เราต้องทำ”
มึนอบอกว่าในอนาคตกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับสูญหาย หากได้รับการประกาศใช้ จะดีกับคนที่ยังไม่ได้รับชะตากรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะได้รับการคุ้มครองคนข้างหน้าในอนาคตต่อไป
จากนี้มึนอจะต้องรอให้หน่วยงานดีเอสไอทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วถึงจะขอกระดูกของสามีเธอมาทำบุญ
มึนอบอกว่าเธอได้คุยกับแม่ของบิลลี่แล้ว โดยแม่ของบิลลี่ต้องการให้มีการดำเนินการตามกฎหมาย ตรงไปตรงมาในส่วนที่ต้องทำตามขั้นตอน
เธอบอกว่า ชาวบ้านด้วยกันเคยขอให้เธอหยุดเคลื่อนไหวเรื่องนี้ “คนคนนั้นเป็นคนเส้นใหญ่” เขาก็จะพูดกรอกหูเราตลอด “แต่เราไม่กลัว เราก็ไปเรียกร้องตามสิทธิที่เราควรได้รับ
“เราไม่ได้ไปทำอะไรใคร เราก็ทำตามหน้าที่ที่เราควรได้รับสิทธิ” มึนอย้ำ
“ถ้านึกถึงบิลลี่ ส่วนมากก็จะนึกถึงสิ่งที่บิลลี่ทำดี ช่วยเพื่อน ช่วยคนนั้นคนนี้ ในหัวก็จะมีเรื่องที่บิลลี่ได้ทำมา เขาไปเรียกร้องสิทธิให้กับปู่ มันเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ ไม่สมควรที่จะให้เขาออกจากพื้นที่เขา เขาอยู่มาร้อยปีแล้ว” ความรู้สึกในใจที่มึนอบอกกับ THE STANDARD ก่อนจบการสนทนาที่บ้านป่าเด็งใต้ ผืนดินแก่งกระจานอันเป็นผืนดินเกิดของบิลลี่ กระทั่งเขาจากไปในที่สุด
เมื่อ 3 ปีก่อนผู้เขียนได้เคยไปเที่ยวบริเวณสะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน ในจุดที่ดีเอสไอพบถังน้ำมันกับกระดูกของบิลลี่ นี่คือที่เดียวกับสะพานพี่โชนในหนัง ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก’ ที่ชอบมีแฟนคลับชาวจีนไปตามรอย คนไทยจำนวนมากก็ไปตามรอยอยู่ คำถามสำคัญคือ เราควรจะทำอะไรให้เป็นที่ระลึกถึงบิลลี่ และความโหดเหี้ยมของสิ่งที่เกิดขึ้นตรงจุดนี้หรือไม่
ด้วยความเคารพต่อวิญญาณของผู้สูญเสีย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์