×

บล.พาย พอร์ตลูกค้า Private Wealth แตะ 1 หมื่นล้านบาท เร็วกว่าแผน หลังลูกค้ากังวลตลาดผันผวน-ต้องการผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

27.06.2024
  • LOADING...

บล.พาย คาด Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยช่วงปลายปีนี้ 1-2 ครั้ง ชี้ เริ่มเห็นรอยร้าวเล็กๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จากยอดค้าปลีกเริ่มชะลอตัว เปิดช่องให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้เพิ่มขึ้น

 

บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าพอร์ตลงทุน หรือทรัพย์สินของลูกค้าทุกประเภทที่บริษัทดูแลอยู่ รวมกันในระดับ 1 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 10% จากปี 2023 โดยเฉพาะบริการเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ที่สามารถรักษามาร์เก็ตแชร์ไว้เป็นอันดับ 2 มาอย่างต่อเนื่อง

 

ในด้านของธุรกิจการบริการซื้อขายหุ้น มีนักลงทุนมาใช้บริการผ่านแพลตฟอร์ม Pi Financial มากขึ้น ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากกว่า 1 แสนครั้ง และมีมูลค่าการลงทุนผ่านแอป Pi Financial รวมประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้บริการในการซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้แล้ว ทั้งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และฮ่องกง อีกทั้งช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแผนที่จะขยายให้บริการตลาดหุ้นใหม่ๆ เพิ่มเติมด้วย

 

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท อันดับ 1 มาจากรายได้จากค่าคอมมิชชันการซื้อขายหลักทรัพย์ อันดับ 2 จากบริการซื้อขายในตลาด TFEX อันดับ 3 รายได้จากการเป็นผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญและหุ้นกู้ รวมถึงงานด้านวาณิชธนกิจ และอันดับ 4 มาจากรายได้จากการให้บริการ Private Wealth ยังมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่มองว่าในอนาคตมีโอกาสจะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากเริ่มเปิดตัวเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับค่อนข้างดี

 

เปิดบริการ Private Wealth

 

ด้านณัชชา สุนทรธาราวงศ์ Deputy CEO and Chief of Private Wealth บล.พาย กล่าวว่า หลังจากเปิดให้บริการ Private Wealth อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของลูกค้ารวม อยู่ที่ระดับประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะถึงตัวเลขดังกล่าวในสิ้นปี 2024 จึงอยู่ระหว่างการทบทวนปรับเป้าหมายตัวเลขใหม่

 

สาเหตุที่สามารถทำ AUM ได้เร็วกว่าเป้าหมาย เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มที่มี Wealth กังวลกับภาวะของตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้ต้องการหาผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทีมผู้ให้คำแนะนำการลงทุนประมาณ 50 คน

 

นอกจากนี้ หลังเริ่มให้บริการในเดือนมีนาคมถึงปัจจุบัน บริษัทสามารถบริหารจัดการผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนของลูกค้า Private Wealth เฉลี่ยในระดับ 8-10% ถือว่าเป็นระดับที่ลูกค้าพอใจในภาวะที่การลงทุนมีความผันผวน โดยปัจจุบันบริษัทมีจำนวนลูกค้า Private Wealth ประมาณ 1,000 ราย

 

อีกทั้งยังมีการลงทุนใน Private Credit ซึ่งบริษัทร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก คือ Apollo Global Management นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุน Private Credit ที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอให้กับลูกค้า และช่วยสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตของลูกค้า โดยให้สัดส่วนการลงทุนราว 40% และส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นการลงทุนใน Structured Notes ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนแบบ Passive ตามทิศทางของสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน โดยที่พอร์ตคำแนะนำในการลงทุนที่ บล.พาย จัดให้ คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 7-10% ต่อปี

 

จับตา Fed หั่นดอกเบี้ยปลายปี 1-2 ครั้ง

 

ณัฐพล จันทร์สิวานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารสูงสุดด้านการลงทุน บล.พาย กล่าวว่า คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางขนาดใหญ่ในโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสลดดอกเบี้ยช่วงปลายปีนี้ 1-2 ครั้ง แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังแข็งแกร่ง แต่เริ่มเห็นรอยร้าวเล็กๆ จากยอดค้าปลีกในเดือนพฤษภาคม 2024 เริ่มชะลอตัว ซึ่งเป็นช่องในการเปิดโอกาสให้ Fed ลดดอกเบี้ย

 

อีกทั้งยังต้องติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งมีผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ และปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

 

อย่างไรก็ดี มองว่ายังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงจากการลงทุนจากตราสารหนี้ในช่วงจังหวะที่ดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) 10 ปี ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง หาก Fed เริ่มส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยชัดเจน จะทำให้ Bond Yield 10 ปี มีโอกาสลงมาต่ำกว่า 4% จากปัจจุบันที่ 4.26% และทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้พลิกกลับมาเป็นบวก จากที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาติดลบค่อนข้างนาน ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการลงทุนในตราสารหนี้แนะนำสัดส่วนในพอร์ตลงทุนอยู่ที่ 20%

 

แนะลุยลงทุนหุ้นนอก

 

สำหรับการลงทุนในหุ้น แนะนำให้มีสัดส่วนในพอร์ตที่ 20% แต่ให้น้ำหนักไปที่หุ้นต่างประเทศมากราว 60% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และการเข้ามาของกระแส AI ที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นสูง หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำ New High ต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันหุ้นในกลุ่มเทคขนาดใหญ่จะปรับฐานลงมา แต่มองภาพระยะยาวยังน่าจะขึ้นไปได้

 

เนื่องจากในปี 2024 เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการนำ AI เข้ามามีบทบาทในการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานต่างๆ และจะเริ่มมีการพัฒนาขึ้นในระยะยาว คล้ายกับช่วงเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าวได้ต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ต้องรอหาจังหวะการลงทุนในช่วงที่ราคาย่อตัวลงมา

 

สำหรับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ปรับลดลง มองว่าหากมีความชัดเจน ตลาดหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จะเป็นตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะอินเดีย และเวียดนาม ที่คาดว่าจะมีเงินลงทุนไหลเข้ามามาก เพราะการลงทุนในด้านต่างๆ เติบโตขึ้นมาก และแนวโน้มเศรษฐกิจยังเติบโตได้สูง ส่วนตลาดหุ้นจีนมองว่ายังต้องรอความชัดเจนของผลที่เป็นรูปธรรมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นจากข่าวของมาตรการ แต่ก็เริ่มเห็นการปรับฐานลงมา ซึ่งมองว่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่อยากเห็นความชัดเจนของเศรษฐกิจที่รับผลบวกจากมาตรการต่างๆ ที่ออกมามากกว่า

 

ส่วนตลาดหุ้นไทยให้สัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 40% ในพอร์ตการลงทุนในหุ้น มองว่าตลาดหุ้นไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่จะได้ประโยชน์หาก Fed เริ่มลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยังมองภาพทิศทางตลาดหุ้นไทยค่อนข้างยาก เพราะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจ

 

อย่างไรก็ดี ในครึ่งหลังของปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างชัดเจน ทำให้มีเงินออกมาหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมาตรการฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนที่เข้ามาช่วยบรรยากาศของตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องรอความชัดเจนของประเด็นทางการเมือง จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะยังแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,400 จุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising