วันนี้ (30 ตุลาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้แก่กองทัพอากาศที่กองบัญชาการกองทัพอากาศอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า ทราบถึงบทบาทของกองทัพอากาศที่จะต้องปรับเปลี่ยนตามสภาพภัยคุกคามและรูปแบบการสู้รบที่เปลี่ยนไปในอนาคต ยอมรับว่าการพัฒนาด้านอวกาศมีความจำเป็น แต่ในทางกลับกันอาจส่งผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาบุคลากรด้วย
ทั้งนี้ หากการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นสอดคล้องและมีความจำเป็น รวมถึงความชัดเจนต่อภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุน แต่ขณะเดียวกันในส่วนของกำลังพล หากมีส่วนที่ไม่จำเป็นก็อาจต้องปรับลดลง
ภูมิธรรมยังชื่นชมบทบาทของกองทัพอากาศในการช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติที่ผ่านมา เช่น การช่วยลำเลียงยุทโธปกรณ์และกำลังพลเพื่อช่วยเหลือประชาชน ยอมรับและเข้าใจข้อจำกัดว่าเครื่องบิน C-130 ที่เป็นกำลังหลักในการลำเลียงมีจำนวนจำกัดและอยู่ในสภาพเก่า ซึ่งประเทศยังคงมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ หากมีงบประมาณเพิ่มขึ้นก็พร้อมสนับสนุนกองทัพอากาศเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในช่วงภัยพิบัติจากอุทกภัยที่จังหวัดเชียงรายที่ผ่านมา กองทัพอากาศยังได้ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) นภา-1 และ นภา-2 เข้าไปสนับสนุนให้ข้อมูลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ ศปช. ซึ่งต่อไปจะพัฒนาดาวเทียมนภา-3 ขึ้นมา เพื่อทดแทนดาวเทียมนภา-1 ที่กำลังจะหมดอายุการใช้งาน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นตัวอย่างในการพิจารณาจากภารกิจ เพื่อสนับสนุนงบประมาณของกองทัพอากาศให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนการเกณฑ์ทหาร ภูมิธรรมกล่าวว่า ให้เตรียมความพร้อมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ โดยให้ย้ำและตรวจสอบว่าผู้บังคับบัญชาอยู่ที่หน่วยฝึกเพื่อดูแลกำลังพลหรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูฝึกเท่านั้น นอกจากนี้ในอนาคตอยากให้พัฒนาบทบาทในการเกณฑ์ทหารของกองทัพอากาศด้วย เนื่องจากขณะนี้บทบาทหลักจะอยู่ที่กองทัพบกผ่านหน่วยสัสดี
ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องการเห็นคือการปรับระบบให้ทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามามีความสอดคล้องกับภูมิลำเนาดั้งเดิม เช่น หากเป็นชาวเขาหรือคนที่อยู่ในภาคเหนือก็ควรอยู่ในพื้นที่จังหวัดที่อยู่เดิม หรือคนที่อยู่บริเวณชายทะเลก็ควรได้อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อขวัญกำลังใจของกำลังพลด้วย โดยแนวคิดนี้ตนเองอยากพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงในการเกณฑ์ทหารที่จะเกิดขึ้นในปี 2568
ภูมิธรรมยังกล่าวถึงการดูแลประชาชนในพื้นที่วิกฤตการสู้รบอย่างในพื้นที่ตะวันออกกลางขณะนี้ว่า กองทัพอากาศเตรียมพร้อมไว้แล้ว ยืนยันว่ามีแผนรองรับและมีความพร้อม หากสถานการณ์รุนแรงจะดำเนินการอพยพประชาชนไทยกลับมาทันที