วานนี้ (28 กรกฎาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการสนทนาโทรศัพท์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประมาณ 30 นาที ว่า ทรัมป์ได้โทรมาแสดงความชื่นชมยินดีว่า เป็นความกล้าหาญของประเทศไทยที่เปิดใจทำให้เป็นตัวอย่างในการรักษาสันติภาพให้เกิดขึ้น และชื่นชมว่าในการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ส่วนตัวชื่นชมทรัมป์ที่มีบทบาททำให้เกิดความร่วมมือของสองประเทศ ทำให้ไทยพ้นวิกฤตในครั้งนี้ และทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นสันติสุข
“ท่านบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาคมโลกชื่นชมประเทศไทย ที่หยุดการกระทำรุนแรง และทำให้ประชาชนของไทยไม่สูญเสียมากกว่านี้ ทำให้การดำเนินกิจการต่างๆ เป็นประโยชน์ หลังจากนี้จะเริ่มพูดคุยเจรจาทางภาษีซึ่งจะเป็นประโยชน์ ซึ่งเขาจะทำให้ดีที่สุด และดูแลเรื่องนี้ให้มากเท่าที่ทำได้” ภูมิธรรมกล่าว
ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ทรัมป์อยากมาเห็นเมืองไทยในฐานะที่เราเป็นประเทศที่น่าชื่นชมมีสิ่งที่ดีทางวัฒนธรรมหลายอย่าง จึงเชิญชวนให้เดินทางมาเยี่ยมเมืองไทย และจากการพูดคุยเชื่อว่าการเจรจาภาษีสหรัฐฯ น่าจะมีผลบวก เพราะสหรัฐฯ ปรารถนาให้เราสร้างสันติภาพในอาเซียน เชื่อว่าการเจรจาทางภาษีจะเริ่มต้นจากความรู้สึกที่ดีในการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ดีต่อกัน ขณะที่เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสก็ชื่นชมประเทศไทยในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อตกลงหยุดยิง หากยังมีการยิงกันอยู่ทำอย่างไร ภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องรอให้ถึงเที่ยงคืน เวลานี้ยังมีการต่อสู้ต่อเนื่อง แม้จะคุยกันที่กัมพูชาจบ แต่ยังมีการรบที่ติดพัน เชื่อว่าจะจบได้อย่างดี เนื่องจากประชาคมโลกทั้งหมดสนับสนุน เราน่าจะไม่มีปัญหา
ส่วนที่ผ่านมากัมพูชามักไม่ทำตามข้อตกลง ภูมิธรรมกล่าวว่า เวลานี้เป็นการพูดคุยของประชาคมโลก และประธานอาเซียนก็แสดงความชื่นชมที่การเจรจาประสบความสำเร็จ หากกัมพูชายังเป็นอย่างที่เคยเป็น เชื่อว่าโลกจะเข้าข้างเรา มองว่าเราใจกว้าง ส่งเสริมสันติภาพ ถ้ากัมพูชายังไม่ทำในสิ่งที่ควร เขาจะเกิดความเสียหายอย่างมาก และเวลานี้เป็นช่วงบรรยากาศที่ยังปะทะต่อเนื่อง ซึ่งความยาวชายแดนมี 800 กิโลเมตร ขอให้รอถึงวันที่ 29 กรกฎาคมก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า แม้จะตกลงหยุดยิงในเที่ยงคืนนี้ แต่หากกัมพูชายังอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทย ที่ปราสาทตาควาย เราต้องผลักดันออกก่อนหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องให้ผู้นำทางทหารทั้งสองฝ่าย ซึ่งรู้สถานการณ์จริงเป็นผู้พูดคุยกัน ในวันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 07.00 น. จะให้แม่ทัพภาคที่ 1 และ 2 คุยกับ กองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของกัมพูชา ที่ขณะนี้ติดต่อกันอยู่แล้ว จึงอยากให้ดูให้ไกลและกว้างว่าเรื่องนี้จะเป็นการนับหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในเวลาเที่ยงคืน
ส่วนการที่กำลังพลเสียชีวิตจะกระทบต่อขวัญและกำลังใจของประชาชนหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า บางสิ่งที่เราไม่อยากเห็น ไม่อยากให้เกิดขึ้น เราก็เสียใจ แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าการสู้รบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องรอดูผลทั้งหมดไม่ใช่แค่เฉพาะหน้า เพราะในภาวะสงครามเมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่จะจบได้ทันที มีแต่ยืดเวลาเพื่อให้เกิดการปะทะ แต่เชื่อว่าที่พูดคุยทั้งหมดถือว่าเป็นประโยชน์ และจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
