วันนี้ (28 เมษายน) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการเดินหน้าแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบกปรับแผนทำงานเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งทั้งทหารและตำรวจได้ประชุมร่วมกับหน่วยต่างๆ ในพื้นที่แล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ โดยให้รายงานความคืบหน้าและรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ภายใน7 วัน ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าภายใน 7 วันนี้ต้องจบ แต่เพื่อให้รายงานความคืบหน้าเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
รวมทั้งเพื่อให้หน่วยในพื้นที่ตื่นตัวในการปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาชายแดนภาคใต้มีข้อมูลจำนวนมากและไม่ตรงกัน ซึ่งจะต้องมีการคุยกันอีกครั้ง และยอมรับว่าร้อนใจ
ส่วนมติ ครม. ที่สั่งการให้หาแนวทางยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้นั้น ภูมิธรรมยืนยันว่า ครม. ยังไม่มีมติให้ยกเลิก แต่เป็นเพียงข้อเสนอของภาคเอกชนที่เห็นว่าสถานการณ์เป็นปกติแล้ว และเพื่อให้การทำกิจการค้าขายดีขึ้น จึงมีข้อเสนอนี้ให้ ครม. พิจารณาและได้หารือไปแล้ว แต่ล่าสุดกลับมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีก จึงต้องทบทวนข้อเสนอใหม่อีกครั้ง ทำให้การหารือกันที่นัดหมายไว้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องเลื่อนออกไปก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ แก้ปัญหาในพื้นที่ก่อน
ภูมิธรรมยอมรับว่ามีการพูดคุยปัญหานี้กับแม่ทัพภาค 4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และ ศ.อบต. เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา พร้อมยืนยันว่าการทำงานในพื้นที่ของทหาร-ตำรวจไม่มีช่องว่างและไม่มีเรื่องรุ่นระหว่างกัน เพราะถือเป็นภารกิจที่ต้องทำโดยไม่มีเรื่องการข้ามรุ่น และตั้งที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ไม่เคยพบปัญหานี้
สำหรับความคืบหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข ภูมิธรรมระบุว่า หากชัดเจนว่าสามารถควบคุมเหตุการณ์ความรุนแรงได้ก็จะมีการพูดคุย เบื้องต้นกำลังจะหารือกับผู้อำนวยความสะดวก ที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียตั้งขึ้น ตามที่นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียได้หารือกันไว้ก่อนหน้านี้ โดยทั้งสองประเทศจะเดินแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันอย่างเต็มที่ หากยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็จะพิจารณาอย่างเด็ดขาดว่าทางการมาเลเซียจะให้ความช่วยเหลือไทยได้อย่างไรบ้าง
ภูมิธรรมกล่าวย้ำว่า ไทยต้องการพูดคุยกับผู้นำตัวจริงของกลุ่ม BRN เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ แต่พบว่ากลุ่มนี้ไม่มีอำนาจในการหยุดยั้งสถานการณ์ โดยเฉพาะการกระทำที่รุนแรงได้ เมื่อทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะคุยอย่างไร ซึ่งขณะนี้เร่งประสานกับหลายฝ่าย ต้องพิจารณาว่ามีส่วนใดบ้างที่จะทำให้การพูดคุยบรรลุผล