วันนี้ (23 มกราคม) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดระนอง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะเลือกใช้ร่างของรัฐบาลหรือร่างของพรรคเพื่อไทยว่า เป็นเรื่องของการเมือง หลังจากที่ตนเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกาทราบว่ามีการตั้งเรื่องมาถึงที่โต๊ะทำงานของตนแล้ว และจะไปดูรายละเอียด ซึ่งคาดว่าไม่เกินปลายเดือนกุมภาพันธ์จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้
ส่วนการตั้งประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง จะเป็นช่องทางให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยใช่หรือไม่นั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ใช่ตั้งประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง แต่ทางฝ่ายพรรคการเมืองและรัฐบาลยังมีความเป็นห่วงว่าจะทำประชามติให้ถูกต้องกี่ครั้ง
ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า หลายคนเห็นตรงกันว่าการทำประชามติ 2 ครั้งน่าจะเพียงพอ ซึ่งถ้าทำ 2 ครั้งก็จะประหยัดงบประมาณไป 3,000 ล้านบาท เราไม่ได้ห่วงว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน สิ่งที่เรานำเสนอคือ หากมีหลักประกันว่าผ่านชัดเจน เสียเงินเพิ่มเราก็ยินดี แต่หากสามารถประหยัดได้และศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงได้ชัดเจนก็สามารถทำได้ แต่หากตอนนี้รัฐบาลไปถามรัฐศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะเหตุยังไม่เกิด เป็นไปได้ว่าศาลจะไม่วินิจฉัยหรือไม่รับเรื่องไว้ แต่หากเสนอเข้าสภาและมีความขัดแย้ง ก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ ซึ่งไม่ได้ขัดอะไรกับที่คณะกรรมการชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นได้ดำเนินการ ซึ่งเรามั่นใจว่า 2 ครั้งน่าจะผ่านได้ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยืนยันให้ทำ 3 ครั้ง เราก็จะเดินหน้าทำ 3 ครั้ง
ภูมิธรรมยังยืนยันอีกว่า รัฐบาลไม่ได้วางธงไว้ว่าอยากทำประชามติ 2 ครั้ง แต่เป็นไปตามที่ วุฒิสาร ตันไชย หนึ่งในคณะกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ได้ศึกษาว่าการทำประชามติ 2 ครั้งน่าจะเป็นไปได้ แต่ยังมีข้อโต้แย้งสำหรับบางคน ดังนั้นหากทำ 3 ครั้งก็ไม่มีใครโต้แย้ง แต่มีข้อเดียวคืองบประมาณจะมากขึ้นไปหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหลักเกณฑ์ของรัฐบาลว่าจะใช้ร่างไหน มีหลักการอย่างไรบ้างนั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นเรื่องของสภา ให้สภาเป็นผู้ดำเนินการ รัฐบาลรอสิ่งที่เราศึกษา ถ้าชัดเจนเมื่อไรก็จะนำร่างรัฐบาลเข้าสู่สภา ส่วนพรรคการเมืองจะมีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป แต่นี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำในสิ่งที่เห็นแล้วควรทำตามที่ได้มีการแถลงนโยบายไว้ต่อสภา ก็ต้องเดินตามกันไป
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ฝ่ายการเมืองจะมีโอกาสคุยกันให้ตกผลึก เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้หรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว มันมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชนด้วย ถ้ามีเกิดมีการฟ้องร้องขึ้นมาจนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน มันก็จะมีปัญหา ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีปัญหาอะไรภายในทิศทางเดียวกัน แต่ฝ่ายค้านจะเห็นด้วยหรือไม่ตนก็ไม่แน่ใจ ต้องถามฝ่ายค้าน ตอนนี้การเมืองยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติที่มีการทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ เป็นเรื่องที่ว่าใครมีจุดยืนไหนก็พยายามอยู่ที่จุดยืนนั้น ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ว่าจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรตรงนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ไม่ติดใจ สว. บอกไม่มีปัญหา พร้อมตอบทุกเรื่อง
ภูมิธรรมยังกล่าวถึงความพร้อมในการชี้แจงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 153 ที่จะมีประเด็นในเรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ตและความเท่าเทียมของกฎหมายว่า สว. ก็ใช้สิทธิของ สว. ตามกฎหมายที่มอบให้ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ต้องขอดูประเด็นว่าเรื่องที่ติดใจการทำงานของรัฐบาลมันคืออะไร เพราะรัฐบาลก็เพิ่งเข้าทำงานได้เป็นเดือนที่ 4
ส่วนเรื่องกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมก็ต้องมาดูว่ากฎหมายอะไรที่ไม่เท่าเทียม หรือการปฏิบัติ มีเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างไร ตนคิดว่าเรื่องนี้สามารถคุยได้ เพราะมาตรา 153 เป็นการเสนอแนะรัฐบาล สามารถฟังและพูดคุยข้อมูลต่างๆ ให้กับรัฐบาลได้ ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนการอภิปรายจะเป็นการพูดเรื่องกฎหมาย 2 มาตรฐาน และอาจมีการพาดพิงไปยัง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ ต้องขอฟังก่อน ตนยังไม่เห็นญัตติ อยู่ที่ สว. ว่าจะเสนออะไร แต่เราก็พร้อมตอบทุกเรื่อง ส่วนระยะเวลาในการเปิดอภิปรายนั้นก็อยู่ที่รายละเอียด เมื่อส่งมาทางสภาก็จะเป็นคนดำเนินการ รัฐบาลก็ต้องดูว่าถ้าไม่ติดวาระงานที่สำคัญก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีปัญหาหรือไม่มีปัญหา