วันนี้ (25 กรกฎาคม) ที่กระทรวงมหาดไทย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ได้มีการพูดคุยกับตน และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เมื่อวานนี้ อันวาร์ ได้โทรศัพท์มาหาตน และได้พูดคุยกันจริงตามที่เป็นข่าว
ขณะเดียวกันอันวาร์ก็ได้โพสต์ข้อความและความเห็นต่างๆ ในฐานะประธานอาเซียน โดยพยายามที่จะเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหา เราจึงได้คุยกันในหลักการ และเห็นว่าควรจะหาทางยุติการปะทะและการเผชิญหน้ากัน ซึ่งโดยหลักการเราไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่การที่จะให้หยุดยิงเมื่อไร ต้องให้มีความชัดเจนจากทางกัมพูชา เพราะไทยได้พยายามทำการเจรจามาตลอดแต่ไม่เกิดผล
สิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดการยิงเข้ามาในเขตแดนไทย ได้มีการตกลงกันไว้แล้วว่าห้ามนำอาวุธขึ้นไปยังปราสาทตาเมือนธม แต่กัมพูชานำกำลังขึ้นมาพร้อมอาวุธ ฉะนั้นสถานการณ์ตอนนี้ เป็นสถานการณ์ที่เราต้องการความชัดเจน และความจริงใจในการทำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การยั่วยุของทหารกัมพูชาที่ไม่มีวินัยเท่าไร จึงส่งผลให้เกิดผลกระทบมาโดยตลอด รัฐบาลและกองทัพจึงพยายามใช้ความอดทนอดกลั้นในการแก้ไขปัญหา หากนายอันวาร์เสนอมาก็ต้องไปเคลียร์ให้ชัดเจน จนเรามั่นใจว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจะไม่เกิดซ้ำซากอีก ถ้าชัดเจนเมื่อใดก็ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เราให้ทหารเราตรึงกำลังไว้ เนื่องจากอันวาร์ได้โทรมาหาตนเอง เมื่อวานนี้ เวลา 18.00 น.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เรารับไม่ได้ เพราะทางกัมพูชาได้เปิดแนวรบ 4 แนวใหญ่ ในเขตกองทัพภาคที่ 2 ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เพราะฉะนั้นเจตนาที่เกิดขึ้นเริ่มต้นจากการยิงเข้ามา และสิ่งที่สำคัญที่ต้องประณาม ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะยิงโดยไม่ได้มีเป้าหมายทางทหาร แต่มีเป้าหมายทางพลเรือน
เห็นได้ว่ามีลูกหนึ่งลงที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในปั๊มน้ำมัน ที่ห่างจากตัวถังน้ำมันใหญ่ 40 เมตรเท่านั้น หากขยับมาแล้วโดนบริเวณถังน้ำมันจะเกิดระเบิดรุนแรง ไฟลุกไหม้พื้นที่พลเรือน ซึ่งตรงนี้ผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง และที่สำคัญโรงพยาบาลพนมดงรัก โดนยิงเข้ามากลางโรงพยาบาล ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 20 กว่าคน และมีผู้บาดเจ็บสาหัสหลายคน
ภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า ในสิ่งที่เจรจากับการปฏิบัติขณะนี้ขัดแย้งกัน โดยกัมพูชาได้มีการรุกราน แต่ไปประกาศว่าไทยเป็นผู้รุกราน แต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้ดูข่าวจากสื่อมวลชนต่างประเทศกว่า 70 แห่ง ก็มีการนำเสนอข่าวไปในทิศทางเดียวกัน ยืนยันว่า กัมพูชาเป็นผู้ทำร้ายเราก่อน ซึ่งมีตัวอย่างข่าวอยู่เกือบทุกฉบับ
ส่วนข้อมูลของทางฝั่งกัมพูชาก็มีปัญหา เพราะเป็นการพูดฝ่ายเดียว มีเจตจำนงที่จะรุกราน และละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เนื่องจากมีการรุกรานและทำร้ายเป้าหมายที่เป็นพลเรือน ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ค่อนข้างมากและชัดเจน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ไปร่วมประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2025 ที่สหรัฐฯ ได้รายงานความคืบหน้ามาแล้วหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนี้อยู่ที่นครนิวยอร์ก ตนจึงได้เรียกกลับมาด่วน เพื่อให้กลับมารับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบกับเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) แล้ว รวมถึงเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ซึ่งคิดว่าในรายละเอียดต่างๆที่ให้ไปมีการอธิบายหลักฐานให้เข้าใจอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ก็ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติวาระพิเศษ ซึ่งถือเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย ที่ประชุมจึงได้รับรองสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่มีเหตุยิงปะทะกัน จนกระทั่งยกระดับทางการทูตอย่างรุนแรงที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากัมพูชาจะพูดอะไร ตนยังไม่เคยเห็นท่าทีของกัมพูชาที่รู้สึกว่าได้ก่อกรรมกระทำผิดรู้สึกว่าตัวเองผิดกฎระเบียบต่างๆ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ต้องรับผิดชอบ
สำหรับการเรียกมาริษ กลับมาจะไม่ส่งผลถึงการเจรจากับ UNSC ใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า มาริษได้พูดคุยโดยตรงอยู่ที่นู่น แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับจากที่ประชุมเมื่อวานนี้ และตอนที่ตนเองคุยกับนายอันวาร์ กระทรวงการต่างประเทศก็ร่วมอยู่ด้วย และได้มีการสั่งการแล้วว่าให้ดำเนินการทางการในการยื่นหนังสือซึ่งคิดว่าวันนี้ก็คงจะได้ดำเนินการ ส่วนแสดงว่าที่สหรัฐอเมริกาให้ทูต UN ของไทยดำเนินการใช่หรือไม่ ภูมิธรรม ระบุว่า กว่าจะส่งหรือเลื่อนไปนั้นก็ลำบาก ซึ่งก็ยังไม่เห็นเหตุการณ์ แต่นายมาริษก็ได้นำเรื่องต่าง ๆ ไปพูดคุยอย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนแบบนี้เรียกว่าเป็นอาชญากรทางสงครามหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยู่ที่ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง ซึ่งดูแล้วตามมาตราต่างๆในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระหว่างประเทศก็เข้าข่ายการสร้างอาชญากรรมระหว่างประเทศ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อันวาร์ พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าอย่างไร ภูมิธรรม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก่อนที่จะโทรมาหาตน ตนจึงแจ้งไปว่าเห็นชอบในหลักการ แต่วิธีการที่จะจัดการ วันเวลาสถานที่ ต้องรอให้ทางฝั่งกัมพูชาแสดงให้เห็นชัดเจนเพราะไทยยึดหลักสันติวิธีมา และพยายามที่จะขอเจรจามาโดยตลอด แต่กัมพูชาไม่เคยจะสนใจ ไม่เคยเจรจา ปล่อยให้ทางการไทย ยื่นเงื่อนไขไปอย่างเดียว แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจ
แล้ววันนี้ก็เห็นภาพแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฮุน เซนนั่งอยู่ โดยใช้แผนที่ 1: 50,000 ซึ่งเป็นแผนที่ละเอียดที่ไทยใช้มาตลอด ทั้งที่กัมพูชาพยายามพูดว่า บอกว่าให้ยึดตามแผนที่ 1: 200,000 ดังนั้นสิ่งที่ ฮุน เซน พูดมาตั้งแต่ต้น จึงอยากให้สาธารณชนดูว่า สิ่งที่ ฮุน เซน พูด ได้พูดอะไรที่เป็น ความเป็นจริงหรือมีอะไรที่พลิกผันบ้าง เช่น การนำคลิปเสียงไปเปิดแล้วโพสต์ใน Facebook ส่วนตัวของตัวเอง
แต่เมื่อเกิดเรื่อง กลับอ้างว่าคลิปเสียงถูกส่งต่อให้ผู้อื่น และเป็นผู้อื่นที่นำไปเผยแพร่ ตนไม่อาจให้ความเชื่อถือได้ เพราะลักษณะการกระทำเช่นนี้สะท้อนลักษณะของผู้นำได้อย่างชัดเจน
คำถามคือ ฮุน เซน เป็นผู้นำที่ประชาคมโลกสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นฟ้องอยู่แล้วว่า หากยึดมั่นในหลักการจริง การใช้อาวุธต้องมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการยิงจรวดติดกล้องจำนวนมาก พุ่งเข้าใส่พื้นที่นอกเหนือจากเป้าหมายทางทหารอย่างชัดเจน
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือเหตุการณ์ในเขตเมือง ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาลและร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งเป็นพื้นที่ของพลเรือนอย่างชัดเจน ดังนั้นไม่ว่า ฮุน เซน จะออกมาพูดอย่างไร ความเชื่อถือก็ไม่มีเหลืออยู่ พร้อมย้ำว่า จากการติดตามรายงานของสื่อต่างประเทศกว่า 70 แห่ง ต่างระบุชัดเจนว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายที่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน และหลายแห่งถึงขั้นประณามการกระทำดังกล่า
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการอนุมัติเงินเยียวยาให้กับผู้ประสบเหตุในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภูมิธรรมระบุว่า ขณะนี้ไม่มีปัญหาใด ๆ อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ได้มีการขยายกรอบวงเงินช่วยเหลือจาก 20 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จะได้รับการจัดสรรวงเงินสูงสุดถึง 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี โดยจากข้อมูลเบื้องต้น (แม้ยังไม่มีมติออกมาอย่างเป็นทางการ) มีแนวโน้มว่าจะขยายวงเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตเป็นรายละ 1 ล้านบาท ขณะที่ผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินเยียวยาในอัตราที่แตกต่างกันตามระดับความรุนแรง
ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ตนได้สั่งการให้ ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจุดที่มีการอพยพประชาชนกว่า 100,000 คน และมอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหาว่าการลงพื้นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งซ่อม หรือเป็นการหาเสียงทางการเมือง
นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และให้ จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้นำรถบรรทุกน้ำและอาหารพระราชทานลงพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของงบประมาณท้องถิ่น จะต้องทำการยกเว้น เพื่อขอใช้งบฯในเหตุการณ์ดังกล่าวได้หรือไม่ภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือระหว่างรัฐบาลกับสำนักงบประมาณ แม้เราจะต้องการให้งบประมาณลงไปสู่ท้องถิ่นโดยตรง เนื่องจากพบว่าปัจจุบันงบฯ ยังมีการกระจุกตัวในหลายส่วน แต่จากการพูดคุยกับสำนักงบประมาณ ก็ได้รับการย้ำว่าหากสามารถแปลงงบประมาณมาได้ ก็พร้อมจะดำเนินการ แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็จำเป็นต้องมีการหารือเพิ่มเติม และให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ตนจะขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งก่อน