วันนี้ (17 เมษายน) โสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเราจะพบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ตามแนวชายฝั่งอันดามัน จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา รวมทั้งสิ้น 11 รัง ก่อนที่ลูกเต่ามะเฟืองจะทยอยฟักออกมาและพากันคลานลงสู่ทะเลตรงกับช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดหนักไปทั่วประเทศ ลูกเต่ามะเฟืองเกิดใหม่ในฤดูนี้มีปริมาณมากกว่าฤดูอื่นในรอบกว่า 2 ทศวรรษ
สำหรับปรากฏการณ์ฤดูวางไข่ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2562 มีรายงานว่า พบแม่เต่ามะเฟือง 4-5 ตัว ขึ้นวางไข่ 4 พื้นที่ ได้แก่ หาดบ่อดาน อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา, หาดท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา, เกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และหาดทรายแก้ว-หาดไม้ขาว – หาดในทอน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหมด 11 รัง (ถูกขโมย 1 รัง) แต่ละรังมีไข่ประมาณ 60-120 ฟอง โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 55-60 วัน ในระหว่างนี้อุณหภูมิจะเป็นตัวแปรสำคัญต่ออัตราการฟัก ระยะเวลาที่ใช้ฟัก และที่สำคัญเป็นตัวกำหนดเพศของลูกเต่า
โสภณกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเต่ามะเฟืองตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งสาเหตุสำคัญก็เนื่องจากผลกระทบจากการทำประมง แหล่งวางไข่ถูกรบกวนจากการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว การลักลอบเก็บไข่เต่า และขยะทะเล ซึ่งที่ผ่านมา วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้กำชับให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดเวรยามเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมจัดทีมนักวิชาการลงพื้นที่ และติดตั้งระบบติดตามเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์และวางมาตรการดูแลเต่ามะเฟืองให้ดีที่สุด รวมทั้งหาวิธีให้ประชาชนรับทราบข่าวและสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกับกรณีน้องพะยูนและมาเรียม เพราะหากปล่อยให้มีการชมหรือเข้าถึงอย่างใกล้ชิด อาจจะเกิดการรบกวนหรือทำให้การฟักตัวไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้
นอกจากเต่ามะเฟืองแล้ว ทาง ทส. ได้ให้ความสำคัญกับสัตว์ป่าสงวนรวมถึงสัตว์ทะเลหายากทุกชนิด โดยเตรียมหามาตรการและประสานความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสร้างเครือข่ายภาคประชาชน ให้ช่วยกันสอดส่องและดูแลทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป
การลดลงของนักท่องเที่ยวน่าจะมีผลดีต่อระบบนิเวศทางทะเล เพราะเมื่อมนุษย์ใช้พื้นที่และทรัพยากรน้อยลง สัตว์ทะเลหายากก็ได้กลับมาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้มากขึ้น
ทั้งนี้ ทางกรมฯ ยังไม่ได้เก็บข้อมูลที่ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพชายหาดและระบบนิเวศทางทะเลหลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แต่โดยหลักการแล้ว ปริมาณนักท่องเที่ยวที่น้อยลง ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งน้อยลง น้ำเน่าเสีย ของเสีย และขยะต่างๆ ก็ลดลงตามไปด้วย จึงมีโอกาสที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งสัตว์ทะเลหายาก และระบบนิเวศทางทะเล ได้พักและฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล