×

ขอทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณประชาชนให้ดีที่สุด: คิดไม่ออกบอกพลภูมิ

22.08.2019
  • LOADING...
พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

HIGHLIGHTS

  • พลภูมิมียุทธศาสตร์การทำงานคือ เข้มแข็งในพื้นที่
  • เขาบอกว่าที่ยังยืนหยัดกับเพื่อไทย เพราะนโยบายของพรรคแก้ปัญหาได้จริงและประชาชนสัมผัสได้
  • มุมมองต่อการถูกชี้มูลกรณีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน แม้หดหู่ แต่เชื่อว่าข้อเท็จจริงในรายละเอียดของ 5 บัญชี ทั้ง 3 บัญชีบัตรเครดิต และอีก 2 บัญชีที่ไม่มีความเคลื่อนไหว สะท้อนชัดถึงเจตนาว่าไม่มีเจตนาทุจริต และจะน้อมรับต่อคำพิพากษา

นับจากจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการเมืองคือสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ก. เขตคันนายาว จากการผลักดันของมารดาผู้เป็น ส.ก. เขตจตุจักร ที่ผ่านสนามโชกโชน อยู่มาตั้งแต่พรรคพลังธรรมจนเป็นไทยรักไทย ประกอบกับลุงที่เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้ทั้งสองมองเห็นว่า เอก-พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ในฐานะลูกและหลานของตน เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท แล้วกลับมาทำธุรกิจภาคบริการ น่าจะได้มีโอกาสที่จะทำการเมืองในพื้นที่ที่ตนเองเกิดและเติบโตมา 

 

สนามแรกคือสนามเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ด้วยวัยเพียง 25 ปีกับอีก 3 วัน แถมมีเวลาเพียง 40 กว่าวันก่อนการเลือกตั้ง ในที่สุดก็ได้รับโอกาสจากประชาชนครั้งแรก ด้วยคะแนนที่เฉือนผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์กว่าพันคะแนน

 

ต่อจากนั้น 11 เดือน ก่อนจะหมดวาระ มีการเลือกตั้งใหม่ พลภูมิได้ใช้เวลาช่วงนั้น ทำงานอย่างหนักจนสามารถชนะการเลือกตั้งครั้งต่อมา ด้วยคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งเกินครึ่ง และสร้างระยะห่างของช่วงคะแนนเพิ่มขึ้นในสมัยที่ 3 และ 4 ก่อนจะลงสมัครเลือกตั้งสนามใหญ่ และได้เป็น ส.ส. ครั้งแรก ปัจจุบันสังกัดพรรคเพื่อไทย นับเนื่องจนถึงเวลานี้ พลภูมิผ่านชีวิตทางการเมืองมากว่า 20 ปีแล้ว

 

พลภูมิเรียกตนเองว่า ‘นักการเมืองหน้าบาง’ ยืนยันว่าที่ผ่านมาไร้ประวัติทุจริตด่างพร้อย แต่เวลานี้เขาถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สิน เขายืนยันด้วยเจตนาบริสุทธิ์ว่าเป็นเรื่องที่เอกสารไม่ครบถ้วน จนท้ายสุดเขาอาจต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตามกระบวนการยุติธรรม

 

และต่อจากนี้คือตัวตน ความคิด ตลอดเส้นทางการเมืองของ พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ในฐานะนักการเมืองคนหนึ่ง

 

พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

 

จาก ส.ก. นักการเมืองท้องถิ่น ก้าวมาสู่ ส.ส. ระดับเขตได้อย่างไร

หลังจากทำการเมืองท้องถิ่นมาเกือบ 12 ปี ก็คิดว่ามีความพร้อม จึงบอกกับคุณหญิงสุดารัตน์ที่ดูแล กทม. ตอนนั้น และท่านได้ให้โอกาสลงสมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งในห้วงเวลานั้นกำลังเกิดวิกฤตการเมืองแบ่งขั้วขัดแย้งทางความคิด 

 

การทำงานการเมืองจึงต้องทำด้วยความคิดว่าเราคือผู้แทนของประชาชน ไม่แบ่งสี ไม่แบ่งค่าย ในพื้นที่จะรู้เลยว่าคนที่เคยรักพรรคฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าเป็นพลภูมิ เขาก็ให้โอกาส คือรู้เลยว่าเขาก็ไม่ได้มองที่พรรคอย่างเดียว ที่ขั้วสีอย่างเดียว แต่การพิสูจน์จากการทำงานทำให้เห็นมาตั้งแต่สมัยเลือกตั้ง ส.ก. สมัยที่ 3 สมัยที่ 4 ที่แม้แต่คนภูมิลำเนาในเขตหรือในหมู่บ้านที่ลงไปหาเสียง จะมาจากภาคใต้ซึ่งเดิมนิยมพรรคหนึ่ง ก็เปิดใจเลือกเรา เพราะผลจากการลงพื้นที่ ลงหมู่บ้าน ทำงานสร้างสิ่งต่างๆ ให้เขา ผมเชื่อว่า ‘ความเป็นผู้แทนพิสูจน์ด้วยผลงาน’

 

ตอนที่ขยับตัวเองจากนักการเมืองท้องถิ่นมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ เทียบสเกลของการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าเป็นพื้นที่ยังลุยต่อเนื่องเท่าเดิมทุกวัน แต่บทบาทจะต่าง การประสานงานจะต่าง จากเดิมท้องถิ่นเราคุ้นเคยกับกรุงเทพมหานคร กับสำนักงานเขต แต่การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล ก็ทำให้ประสานกับรัฐมนตรี กระทรวงต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น ทั้งนโยบายของรัฐบาลก็ใช้แก้ปัญหาที่ประชาชนเจอได้ ดังนั้นก็สร้างผลงานได้ดีขึ้น

 

พลภูมิ

 

รัฐประหาร 4-5 ปีที่ผ่านมา มีนักการเมืองหลายคนเลือกจะอยู่นิ่งๆ บ้างก็ย้ายขั้วย้ายค่าย อะไรทำให้พลภูมิยังเลือกทำพื้นที่ต่อเนื่อง และยืนหยัดอยู่กับเพื่อไทย

สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขเราทำได้ตลอด ไม่ต้องมีวาระ ไม่ต้องมีเวลาเลิกงาน ผมทำงานอยู่ตลอด หลับๆ อยู่มีโทรศัพท์เข้ามาว่ามีเรื่องราวปัญหาเกิดก็ลุกมาทำงาน เหตุเพลิงไหม้ดึกดื่นผมก็ไป ช่วงที่เราไม่มีหัวโขน เราก็ทำเท่าที่ทำได้ เพราะการประสานหน่วยงานต่างๆ ตอนยังไม่มีเลือกตั้งก็มีข้อจำกัดอยู่ ก็คิดว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ละทิ้งพื้นที่ แต่ทำได้มากน้อยแค่ไหน อาจต่างกัน แต่เราก็ไปเยี่ยมเยืยนประชาชนตลอด ส่วนการตอบสนองด้วยการแก้ไขปัญหาที่อาจต้องใช้กำลังภาครัฐ ชาวบ้านเขาก็เข้าใจ ก็เป็นเรื่องดีที่เขาเข้าใจเรา

 

แล้วเรื่องการยืนหยัดกับพรรค ทำไมยังอยู่

สัจจะ กตัญญู เป็นเรื่องที่เราควรตระหนักอยู่เสมอ คือจากวันที่เราไม่มี เราเกิดมาได้เพราะพรรคไทยรักไทย และจนถึงวันนี้เป็นพรรคเพื่อไทย นโยบายหลายนโยบายมันสร้างความสุข แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ประชาชนสัมผัสได้จริง ตลอดจนอดีตผู้นำ ผมก็ได้สัมผัส ได้เห็นความตั้งใจ เห็นความสำคัญของการผลักดันนโยบายที่แก้ปัญหาอย่างแท้จริง แล้วประชาชนได้ประโยชน์ เราเลือกไม่ผิดที่เรายืนอยู่ตรงนี้

 

พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

 

เป้าหมายสูงสุดของชีวิตนักการเมืองคืออะไร

ฝันแค่เป็นผู้แทนราษฎร ที่เลือกตั้งกี่ครั้งก็ได้ความไว้วางใจ นี่คือการได้ความไว้วางใจจากประชาชนแล้ว ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีคือการที่ผู้ใหญ่ไว้ใจ แต่ที่เราหวังคือเลือกตั้งจะกี่ครั้งก็ขอให้ประชาชนไว้ใจก็พอแล้ว อย่าสอบตก แค่นี้ นี่คือเป้าหมายของผมแล้ว ดังนั้นช่วง 5 ปีที่ปฏิวัติ พื้นที่ไม่มีผู้แทนของประชาชน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เขาก็ยังต่อสาย ยังเดินมาที่ศูนย์ประสานงานของเรา อะไรที่เราแก้ไขปัญหาให้เขาได้ เราก็มีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในโรดแมปชีวิตของเรา การที่ได้เป็นผู้แทนและเลือกตั้งไม่เคยแพ้คือสิ่งที่ภูมิใจตลอดมา

 

ครอบครัวมีส่วนต่อการทำงานการเมืองไหม

เราคือว่าครอบครัวเป็นกำลังใจที่ทำให้เรายังยืนอยู่ได้ ถ้าไม่ได้รับกำลังใจ เข้ามาบ้านแล้วคุยเรื่องการเมืองไม่ได้ ปรึกษาใครไม่ได้ มันก็ห่อเหี่ยวนะ ภรรยาเราแต่ก่อนก็ไม่ได้ชอบเรื่องของการเมือง แต่พอเขาเห็นเราทำแล้วมีความสุขเขาก็สนับสนุน

 

พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

 

จากการทำงานการเมืองตลอดชีวิตที่ผ่านมาที่ไม่มีความด่างพร้อย ไม่มีเรื่องทุจริต แต่ตอนนี้กลับมีคดีในที่สุด วินาทีที่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องนี้รู้สึกอย่างไร

หดหู่ใจนะ เพราะถ้ามองถึงเจตนา ไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิดทรัพย์สิน เพราะที่โดนมี 5 รายการ 3 รายการเป็นเรื่องของบัตรเครดิต ซึ่งบัตรเครดิตเป็นความผิดพลาดที่เราไม่ได้ยื่น ส่วนอีก 2 รายการของภรรยา เป็นบัญชีที่ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ไม่ได้เป็นการร่ำรวยผิดปกติ

 

บัญชีหนึ่งราวๆ หลักพัน กับอีกบัญชี 15,000 บาท ซึ่งบัญชีที่มี 1,300 บาท คือบัญชีที่เป็นชื่อเดิมของภรรยา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อใหม่ เมื่อเช็กแล้วไม่ขึ้นจึงไม่ได้ยื่น ทั้งนี้ในเรื่องของบัญชีบัตรเครดิต ตลอดชีวิตนักการเมืองยื่นมาสิบกว่าครั้งไม่เคยได้ยื่นเลย และไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนทักท้วง จนเพิ่งโดนแจ้งข้อหาว่าปกปิด แต่ก็โอเคว่าแม้จะแจ้งเหตุผลแล้ว ป.ป.ช. ยังชี้มูล ก็ต้องยอม เพราะกฎหมายเป็นอย่างนั้น

 

พลภูมิ

 

กังวลในประเด็นการถูกลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองไหม

จากการได้ทำงานเกือบ 20 ปี ตั้งแต่อายุ 25 ถึงตอนนี้ 44 ปี ถือว่าได้ทำงานตามอุดมคติแล้วนะ และก็เราถือคติในใจเสมอว่าทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็เกิด ถ้ามันจะเกิดในสิ่งที่ดี ถ้าทำดี ก็ต้องตอบแทนในผลดีๆ มี แต่ถ้าผลออกมามันต้องหยุดทางการเมืองก็ต้องหยุด ไม่ว่าศาลตัดสินอย่างไรก็น้อมรับคำตัดสิน

 

ไม่รู้ว่าผลคำตัดสินจะเป็นอย่างไร อยากให้สรุปบทเรียนตลอดชีวิต 20 ปี จาก ชีวิต ส.ก. สู่ ส.ส. พลภูมิ ที่ได้มาจากการเมืองตลอดช่วงความขัดแย้งนับสิบปี

จริงๆ ประชาชนก็มีสรุปบทเรียนของตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เรารู้สึกคือ ในเรื่องของการเมือง อย่างที่แม่เราเคยเตือนว่า การเมืองสมัยนี้ไม่ควรเล่น คือสำหรับความขัดแย้ง แบ่งแดงแบ่งเหลือง เราทำงานการเมืองในพื้นที่ เราทำงานได้หมด ไม่เคยเอาความขัดแย้งมาในพื้นที่ เราทำงานได้ตลอดมาในพื้นที่ แต่สำหรับการตัดสินชี้มูล ในเรื่องการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเราอยากให้ดูที่เจตนา มันก็หดหู่

 

พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

 

คำถามสุดท้าย ณ วันนี้ จนกว่าจะรู้ดำรู้แดง จะทำหน้าที่ของตัวเองต่ออย่างไร

วันนี้ทำงานเต็มที่เหมือนเดิม และถ้าผลตัดสินยังได้ทำงานต่อ ก็ยังทำเต็มที่เหมือนเดิม ถ้าศาลวินิจฉัยไปอีกทางก็จะพิจารณาอีกทีหนึ่ง แต่ก็อยากทำหน้าที่ในบทบาทสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนบุญคุณประชาชน

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X