วันนี้ (15 กันยายน) ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้นัดทีมกฎหมายชุดเล็ก ซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายของพรรค เพื่อหารือถึงการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคเพื่อไทย
ชูศักดิ์ระบุว่า เรื่องนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และตามหมวด 15 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ที่จะต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการกำหนดวิธีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะทำอย่างไร
ก่อนจะนำเสนอสู่รัฐสภา ให้พิจารณาครบทั้ง 3 วาระ ซึ่งวาระที่ 1 และวาระ 3 จะต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 และต้องได้เสียงจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านร้อยละ 20 เห็นชอบด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จบกระดานม้วนเสื่อกลับบ้าน
ชูศักดิ์กล่าวต่อว่า ศาลฯ ชี้ว่า ห้ามเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.). โดยตรง ซึ่ง แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้มีแนวทางในการเลือก สสร.โดยอ้อม เช่น แนวคิดที่ว่า ให้รัฐสภาเลือก สสร. หรือให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเห็นว่า หากเป็นเรื่อง สสร. ที่เป็นคณะใหญ่ อาจจะมีจำนวน 100-200 คน ซึ่งต้องมีรองประธานสภาฯ หรือประธานสภาฯ โดยที่ประธานรัฐสภาทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่งอาจจะดูอุ้ยอ้าย แต่หาก รัฐสภาใช้วิธีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 47 หรือ 50 คน โดยมีตัวแทนจากหลายภาคส่วน จะทำให้องค์กรกะทัดรัด ซึ่งจะให้การทำงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
โดยมีสัดส่วนตัวแทน อาทิ คณบดีคณะนิติศาสตร์ , คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ทั้งของมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชน ตามจำนวนที่ตกลง, ตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ศาลฯ, องค์กรอิสระ, สภาทนายความ และตัวแทนจากวิชาชีพทั้งหลาย รวมถึงองค์กรเอกชนตามสัดส่วน และกรรมาธิการจากตัวแทนสภาตามสัดส่วนพรรคการเมืองในสภา และวุฒิสภา
ชูศักดิ์ระบุอีกว่า เรื่องคำวินิจฉัยของศาลฯ ยังยึดโยงกับ MOA ของพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ในเงื่อนไขของการยุบสภาภายในระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าในเวลาดังกล่าวร่างรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาครบทั้ง 3 วาระแล้ว ก่อนที่จะยุบสภา ซึ่งหากไม่แล้วเสร็จก็จะไม่มีอะไรไปทำประชามติ และเพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป ทุกพรรคการเมืองต้องเข้าใจตรงกันในเรื่องนี้
“อย่างน้อย 4 เดือน ต้องทำให้เสร็จ ถ้าทำไม่เสร็จก็จบ เสร็จตอนไหนอย่างน้อยสุด ต้องผ่านวาระ 3 เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 147 ถ้าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านวาระ 3 แล้ว สามารถเดินต่อไปได้ แม้จะมีการยุบสภา” ชูศักดิ์กล่าว
ชูศักดิ์กล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายประชามติปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ และต้องถามความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการทำประชามติ ที่จะต้องมีการชี้แจง และทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ในวันเลือกตั้ง สส. ทั่วไป นอกจากจะมีการเลือกตั้ง สส. แล้ว ต้องทำประชามติ 2 คำถามในครั้งเดียว ซึ่งวันนี้คณะกฎหมายชุดเล็กจะหารือกันก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ของพรรคในวันพรุ่งนี้ (16 กันยายน)
ก่อนที่ชูศักดิ์จะย้ำว่า การเลือกตั้ง สสร. ทางอ้อม ในความต้องการของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยก็ไม่ต่างอะไรกับรูปแบบที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ ซึ่งวิธีการของพรรคเพื่อไทยจะทำงานได้รวดเร็วกว่า รวมถึงจะมีส่วนร่วมจากฝ่ายต่างๆ พร้อมมั่นใจว่าจะสามารถไปพูดคุยกันได้ในภายหลัง
ส่วนจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จทั้ง 3 วาระ ภายในระยะเวลา 4 เดือน ชูศักดิ์กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นอันกิน อันนอนกัน หลังตุลาคม ปิดสมัยประชุมสภา ก็ไม่ต้องไปไหนกัน ประชุมการจัดทำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องทุ่มเทกันถึงขนาดทั้งวันทั้งคืน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทัน พี่น้องสื่อมวลชนก็ถามกันว่า ปวดหัวไหม ยอมรับว่า ปวดหัว ปัญหาไม่ใช่ง่ายๆ พอไปประชุมมีเรื่องที่ต้องให้คิดสลับซับซ้อน เช่น กรรมาธิการ กับสภาร่างฯ จะเอาอย่างไร เถียงกันได้ทั้งวันทั้งคืน” ชูศักดิ์กล่าว