นับว่าเป็นข่าวน่ายินดีครั้งใหญ่ของวงการบันเทิง ที่เราได้ยินชื่อของ เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกดาวค้างฟ้าที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปหลายสิบปีอีกครั้ง ในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) ประจำปี 2561 ร่วมกับศิลปินแห่งชาติสาขาอื่นๆ อีก 11 คน ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับโอกาสพิเศษครั้งนี้ THE STANDARD POP จะขอพาไปร่วมรำลึกความหลังถึงชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละครหรือภาพยนตร์ใดๆ ของนางเอกระดับตำนานผู้ที่ได้รับฉายาว่า ‘นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง’ ที่ฝากผลงานการแสดงอันตราตรึงให้กับวงการบันเทิงไทยเอาไว้มากถึง 320 เรื่อง ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 16 ปี
แม้ว่าบทบาทชีวิตบางช่วงของเธออาจจะแสนเศร้า แต่ความรักที่มีให้กับอาชีพนักแสดงที่เธอยอมทุ่มเททั้งชีวิตให้นั้น ควรค่าแก่การส่งต่อแรงบันดาลใจ มากกว่าที่จะปล่อยให้ชื่อของเธอหลงลืมไปตามกาลเวลา
ก่อนจะเป็นที่รู้จักในฐานะนางเอกแสนดีและน่าเห็นใจจากบทบาทในภาพยนตร์หลายเรื่องที่ได้รับ จุดเริ่มต้นของเพชราก็ไม่ต่างจากตัวละครเหล่านั้นเท่าไรนัก
เธอคือเด็กสาวหน้าตาสะสวยจากจังหวัดระยอง ที่ถูกหมั้นหมายกับเจ้าของอู่ต่อเรือตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยความเป็นเด็กและไม่ได้มีใจรัก ทำให้เธอพยายามบ่ายเบี่ยงกำหนดการนั้นมาตลอดระยะเวลา 2 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจหนีออกจากงานแต่งงานที่กำลังจัดขึ้นในอีก 20 วันข้างหน้า เพื่อออกเดินทางตามหารักแท้มาอยู่ที่กรุงเทพฯ กับชายหนุ่มที่เธอชอบพอด้วย
ถึงแม้ว่าความรักครั้งนั้นจะต้องจบลงโดยยังไม่ถึงฝั่งฝัน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการแจ้งเกิด ‘เพชร’ เม็ดงามให้กับวงการภาพยนตร์ จากตำแหน่งเทพธิดาเมษาฮาวายประจำปี 2504 และก่อนที่ในอีก 1 ปีต่อมา จะได้รับการชักชวนจาก ศิริ ศิริจินดา และ ดอกดิน กัญญามาลย์ ให้รับบทบาทหญิงสาวชาวไร่ใสซื่อในภาพยนตร์เรื่อง บันทึกรักของพิมพ์ฉวี คู่กับ มิตร ชัยบัญชา พระเอกดาวรุ่งของวงการ จนกลายเป็นตำนานคู่ขวัญ ‘มิตร-เพชรา’ ที่มีผลงานร่วมกันอีกกว่า 200 เรื่อง จนถึงขนาดที่ไม่มีคนในประเทศไทยคนไหนไม่รู้จัก พร้อมกับฉายา ‘นางเอกสาวนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง’ จากนักเขียนชื่อดัง เจน จำรัสศิลป์
ด้วยหน้าตาสะสวย คมคาย นัยน์ตาหวานเป็นเอกลักษณ์ และท่วงท่าการแสดงอารมณ์ที่กินใจในทุกบทบาท ทำให้กราฟชีวิตในวงการภาพยนตร์ของเธอก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว โดยมีผลงานการแสดงมากถึง 5 เรื่องใน พ.ศ. 2505 เพิ่มเป็น 9 เรื่องใน พ.ศ. 2506 และ 15 เรื่องใน พ.ศ. 2507
ก่อนเข้าสู่ยุคที่วงการภาพยนตร์ตกอยู่ในมนต์สะกดของนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งของเธออย่างแท้จริง ตั้งแต่ พ.ศ. 2508-2514 ที่เธอมีผลงานการแสดงมากกว่า 30 เรื่องในทุกปี โดยเฉพาะใน พ.ศ. 2509 ที่ผู้ชมได้เห็นฝีมือการแสดงของเธอมากถึง 41 เรื่องด้วยกัน
คงไม่เกินไปนักหากจะบอกว่า เพชราคือผู้จุดกระแส ‘ฟีเวอร์’ ในหมู่แฟนคลับที่มาก่อนกาลอย่างแท้จริง เพราะในช่วงเวลานั้นหากเธอมีงานโชว์ตัวที่จังหวัดไหน จะมีแฟนคลับจำนวนมากไปรอรับเธอที่สถานีรถไฟจนเต็มพื้นที่ รวมทั้งการเบียดเสียด แย่งชิงพื้นที่ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุด จนเกิดเหตุการณ์ ‘รั้วพัง’ เป็นเรื่องปกติ
ชรินทร์ นันทนาคร สามีที่ครองรักกับเพชรามามากกว่า 40 ปี เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันถึงเรื่องนี้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ไว้ว่า “สมัยนั้นผู้ชายคนไหนเดินสวนผ่านคุณอี๊ด เป็นต้องวิ่งย้อนกลับมาเพื่อดูหน้ากันทุกคน”
หากแต่แสงไฟที่สาดส่องให้อนาคตในวงการบันเทิงสดใสมากเท่าไร ก็ยิ่งบดบังให้ระยะเวลาเปล่งประกายของเธอลดน้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย
จากการโหมทำงานหนักด้วยความทุ่มเทและตั้งใจ ประกอบกับสภาพการถ่ายทำภาพยนตร์ในเวลานั้น ที่ต้องใช้แสงไฟสว่างจ้าเป็นองค์ประกอบสำคัญ นัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งของเธอเริ่มมีปัญหาเรื่องการมองเห็นระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ไทยใหญ่ ใน พ.ศ. 2513
เธอเริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษา แต่ว่าจากคิวถ่ายภาพยนตร์ที่แน่นขนัด ทำให้หลายครั้งเธอตัดสินใจไม่ไปพบแพทย์ตามนัด เพราะเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวคือ ไม่อยากทำให้ทีมงานในกองถ่ายเดือดร้อน เพราะต้องรอเธอเพียงคนเดียว
ความทุ่มเทที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของเธอก็ค่อยๆ กัดกร่อนประสิทธิภาพในการมองเห็นของเธอลงไปเรื่อยๆ มีหลายครั้งที่เธอประสบอุบัติเหตุระหว่างขับรถไปถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ก็ไม่อาจหยุดความรักและความตั้งใจในการแสดงของเธอได้ เธอพยายามฝืนถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไปจนถึง พ.ศ. 2521 โดยมีภาพยนตร์เรื่อง ไอ้ขุนทอง ฝากไว้ให้กับผู้ชมเป็นเรื่องสุดท้าย พร้อมกับนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งที่ไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อีกต่อไป
หลังจากนั้นเพชราก็ห่างหายจากวงการบันเทิงเพื่อรักษาตัวเองอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในฐานะนักจัดรายการวิทยุคลื่นลูกทุ่งเอฟเอ็มใน พ.ศ. 2544-2548 หากแต่แฟนๆ มีโอกาสได้ยินเพียงแค่เสียงของเธอเท่านั้น เพราะในเวลานั้นเธอเลือกที่จะไม่ปรากฏตัวตามสื่อที่ไหน เพราะความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง รวมทั้งความรู้สึกเช่นเดิมที่ว่า ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนที่ต้องมาคอยดูแล ถ้าเธอต้องไปงานตามที่ต่างๆ
เธอจึงตัดสินใจเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน โดยมี ชรินทร์ นันทนาคร ‘พระเอกตัวจริง’ ในชีวิตที่หลงรักเพชราตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นภาพของเธอบนหน้าหนังสือพิมพ์ และบอกกับเธอในวันที่เลวร้ายที่สุดว่า “เธอจำไว้นะ ฉันไม่มีวันทิ้งเธอ” คอยดูแลอย่างใกล้ชิดมาจนถึงทุกวันนี้
จนกระทั่งในงานวันเกิดครบรอบ 76 ปีของเพชรา เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562 ที่เรามีโอกาสได้เห็นเธออีกครั้ง พร้อมกับเพลง หยาดเพชร ที่เปรียบเสมือนจดหมายรักที่ชรินทร์มอบให้เธอเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ถูกนำมาขับกล่อมอีกครั้ง โดยที่มีภาพทั้งคู่ยืนโอบกอดเคียงกัน แสดงถึงความรักอันอบอุ่น ยิ่งใหญ่ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: