วันนี้ (10 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค แถลงถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เรื่องกระบวนการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาชนยืนยันว่า เป้าหมายสําคัญในการแก้ไขปัญหาประเทศควบคู่ไปกับการฟื้นฟูความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ คือการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลง MOA ที่พรรคประชาชนได้จัดทํากับพรรคภูมิใจไทย
วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า กระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการทําประชามติทั้งหมด 2 รอบ ได้แก่ ประชามติรอบที่ 1 เพื่อสอบถามประชาชนพร้อมกันใน 2 ประเด็น คือ เห็นด้วยหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเห็นด้วยหรือไม่ กับวิธีการและเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ที่รัฐสภาเห็นชอบประชามติรอบที่ 2 เพื่อสอบถามประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ดังนั้น หลังจากนี้พรรคประชาชนเห็นว่า เราควรเดินหน้าสู่การจัดทําประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ เข้าปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะกระทําการได้หลังจากที่รัฐสภาพิจารณา และให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเพิ่มกลไกในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2 ข้อเรียกร้อง เดินหน้าเสนอร่างฯ ก่อนแถลงนโยบาย
พรรคประชาชนจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการดําเนินการ ดังต่อไปนี้
1. สส. จากแต่ละพรรคการเมือง ควรยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งไม่ควรเกินสัปดาห์หน้า เพื่อให้สามารถดําเนินการจัดทําประชามติรอบที่ 1 ได้ทัน พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น จากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลัง ครม. ใหม่ เข้าปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งปัจจุบัน ทาง สส. พรรคประชาชน และ สส. พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นร่างต่อประธานรัฐสภา และถูกบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภามาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคแกนนํารัฐบาล ควรพิจารณารวบรวมเสียง สส.รัฐบาล เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ของตนเองเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งควรมีเนื้อหาที่เป็นการเสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งตามข้อตกลง
“แม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่เราเห็นว่าคําวินิจฉัยดังกล่าว อาจยังไม่ได้ปิดประตูต่อการมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐสภา สามารถออกแบบกลไกให้ สสร. ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ สสร. จัดทํามาที่รัฐสภา ก่อนส่งไปทําประชามติกับประชาชนได้ อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูรายละเอียดในคําวินิจฉัยฉบับเต็ม” ณัฐพงษ์กล่าว
2. สส. จากแต่ละพรรคการเมือง ควรร่วมกันผลักดันให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือนกันยายนนี้ โดยไม่จําเป็นต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เนื่องจากเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารโดยตรง เพราะการดําเนินการดังกล่าว จะเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญ ที่จะทําให้เป้าหมายในการจัดทําประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลัง ครม. ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ เป็นจริงได้
สุดท้าย พรรคประชาชนยืนยันว่า เราจะทําหน้าที่เต็มที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน เพื่อดําเนินการตรวจสอบเสนอแนะ และผลักดันรัฐบาลใหม่ ให้บริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชน และเดินหน้าสู่การปลดล็อกการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่ได้สัญญากับประชาชนไว้ในข้อตกลง
เชื่อคำวินิจฉัยไม่ปิดประตู สสร. จากการเลือกตั้ง
ณัฐพงษ์มองว่า คำวินิจฉัยนี้ไม่ได้เป็นการปิดทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้นแต่อย่างไร แต่เป็นคำวินิจฉัยที่บอกว่าให้สามารถทำประชามติ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 1 และ 2 พร้อม กันได้ ดังนั้น ในวันนี้จึงเป็นที่ชัดเจนว่าสามารถทำประชามติได้ 2 รอบ เพียงแต่รอบแรกต้องมีการทำออกแบบคำถามอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในสภาต่อ
สำหรับความเสี่ยงปิดประตู สสร. จากการเลือกตั้งนั้น ณัฐพงษ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันเพิ่มเติม แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างชัดเจน ที่ยังไม่ได้มีการปิดช่องว่า จะมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งได้ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต่อไป เป็นสิ่งที่พวกเราต้องหารือกันในรัฐสภา เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง
ณัฐพงษ์ชี้ว่า ยังมีขั้นตอนรายละเอียดอื่นๆ เช่น การออกแบบกระบวนการที่เป็นไปได้ แม้แต่การตีความว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมานั้น วินิจฉัยในกรอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก่อนการแก้ไขหมวด 15 ซึ่งไม่มีบทบัญญัติการแก้ไขที่เกี่ยวกับ สสร. ดังนั้น หน้าที่ของสภา คือการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15 ให้แล้วเสร็จใน 4 เดือน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เป็นหน้าที่ สส.ทุกคน ที่ต้องตกผลึก
ส่วนควรรอให้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้เรียบร้อยก่อน จึงจะให้ดำเนินการ มีความเป็นไปได้หรือไม่ ณัฐพงษ์เห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15 เป็นหน้าที่โดยตรงฝ่ายนิติบัญญัติ จึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่ต้องรอการแถลงต่อรัฐสภา ยิ่งทอดเวลาออกไป ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ที่จะทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันกรอบเวลา 4 เดือน
พร้อมใช้เสียงในสภากำกับรัฐบาลภูมิใจไทย
ส่วนพรรคภูมิใจไทยจะมีการดำเนินการหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบแทนได้ เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนต้องไปถาม อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และพรรคภูมิใจไทย ส่วนตัวยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ที่จะทำให้พวกเราเห็นว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลง เราพร้อมใช้เสียงที่มีในสภา กำกับรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลง
อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับใครเลย รวมถึงพรรคภูมิใจไทยด้วย เพราะการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทย มีเพียงการพูดคุยผ่านวิปตามปกติ ย้ำว่า ตั้งแต่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่มีการต่อสายตรงหลังบ้าน ไม่เคยมีการสื่อสารใดๆ กับหัวหน้าพรรคการเมืองใด ที่ผ่านมา พวกเราพยายามทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้าน ที่ไม่มีอำนาจในการกำกับทิศทางฝ่ายบริหารโดยตรง
“ต้องรอพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก่อน โดยสำนึกของวิญญูชน เราสามารถเห็นได้ว่า พรรคภูมิใจไทยมีความจริงใจมากน้อยแค่ไหน ในการเดินหน้าตามเจตนารมณ์ของข้อตกลง เพราะหากมีการบิดพลิ้ว เราก็พร้อมใช้ 143 เสียงล้มรัฐบาลทันที และกำกับทิศทางรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงมากที่สุด” ณัฐพงษ์กล่าว
สำหรับกรณีที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แสดงความเห็นว่า เมื่อกำหนดกรอบไว้มากขนาดนี้ ต่อให้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จริงตามกระบวนการ แต่ก็อาจไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แท้จริง ณัฐพงษ์มองว่า เป็นหน้าที่ของ สส. ทุกคนที่ต้องผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ในฐานะผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญมากที่สุด