บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE ประกาศราคาขายหุ้น IPO ที่ 3.98 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 2-4 และ 7 กุมภาพันธ์นี้ ผ่าน บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส, บล.ทิสโก้ และ บล.เคทีบีเอสที คาดพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 10 กุมภาพันธ์ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ ‘PEACE’ ปักเป้าหมายผลการดำเนินงานโต 3 เท่า ภายใน 5 ปี
ประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า “การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ PEACE ที่ราคา 3.98 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากศักยภาพการเติบโตและแผนการลงทุน ประกอบกับมีความมั่นคงของผลการดำเนินงานและโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งนี้ PEACE ถือว่าได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ปรับเปลี่ยนไปหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด เนื่องจากผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบรอบเมืองแทนการมองหาคอนโดมิเนียมในเมือง เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอยในการทำงานและการใช้ชีวิตมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดบ้านแนวราบเติบโตขึ้น และได้รับผลกระทบน้อยในช่วงการแพร่ระบาด ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อการเติบโตของบริษัท” ประเสริฐกล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 336 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 336 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดย PEACE จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท
ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PEACE กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายก้าวเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย ซึ่งการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในอนาคต
โดยบริษัทวางเป้าหมายภายในปี 2567 จะมีรายได้ขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว จากฐานรายได้ขายในปี 2564 และภายในปี 2569 รายได้ขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว จากฐานรายได้ขายปี 2564 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการนำ PEACE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบกับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะฟื้นตัวหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปแล้ว
ขณะเดียวกัน PEACE จะมุ่งสร้างรายได้และกำไรเติบโตไปพร้อมกัน โดยบริษัทมีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 35-40% เช่นเดียวกับช่วงเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน PEACE มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 3,045 ล้านบาท ประกอบด้วย
- โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท
- โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์-เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท
- โครงการ Cherkoon ราชพฤกษ์-พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2-3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท
โครงการใหม่ดังกล่าวได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและวางมัดจำค่าซื้อที่ดินแล้ว และคาดว่าจะทยอยเปิดตัวในไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP