สถานการณ์ของพวกเขากำลังลำบาก ทีมเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ถึง 10 แต้ม ขณะที่เหลือเวลาอีกแค่ 8 นาที
อะไรที่เคยทำได้วันนี้ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ไม่สามารถจะทำได้ เพราะเกมรุกของพวกเขาถูกซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ ไนน์เนอร์ส สะกดเอาไว้จนอยู่หมัด
ดูเหมือนการรอคอย 25 ปีของ ‘โฟร์ตี้ ไนน์เนอร์ส’ กำลังจะจบลง ขณะที่ชาวแคนซัส ซิตี้ ในมลรัฐมิสซูรี (ไม่ใช่ เกรทเทอร์ แคนซัส ที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงหลังจบเกม) ดูจะแอบทำใจที่การรอคอย 50 ปีของพวกเขาจะจบลงด้วยความผิดหวังอีกครั้ง
แต่แล้วในดาวน์ที่ 3 ที่ระยะ 15 หลาในแดนของตัวเอง แพทริก มาโฮมส์ ก็จุดประกายความหวังให้ทุกคนด้วยการขว้างบอลระยะ 44 หลาให้ ไทรีก ฮิลล์ ได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะขว้างบอลจากเส้นหนึ่งหลา – จุดเดียวกับที่ควอเตอร์แบ็กวัย 24 ปีวิ่งเข้าไปทำทัชดาวน์ในช่วงต้นเกม – ให้กับทราวิส เคลซี
สองการเล่นนี้ทำให้ชีฟส์ไล่ตามไนน์เนอร์สมาเป็น 20-17 โดยเหลือเวลาอีก 6 นาที
และนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 54 ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อเช้านี้ (3 กุมภาพันธ์) ครับ
ย้อนหลังกลับไปในช่วงก่อนที่ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 54 (Super Bowl LIV) จะเริ่มขึ้น มีการพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจในการแข่งขันครั้งนี้
เรื่องการรอคอยที่ยาวนานระหว่างซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ ไนน์เนอร์ส ที่ไม่ได้ครองแชมป์ซูเปอร์โบวล์มายาวนานถึง 25 ปี และแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ที่รอคอยมายาวนานยิ่งกว่าถึงครึ่งศตวรรษหรือ 50 ปี ก็เป็นหนึ่งในสีสันที่มีการพูดถึงมากที่สุด (และทำให้ตั๋วเข้าชมซูเปอร์โบวล์ปีนี้ราคาทะลุ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว)
การเผชิญหน้ากันระหว่างไนน์เนอร์ส (หรือสมญาเท่ๆ ประสากีฬาบ้านเราคือ ‘คนตื่นทอง’ ซึ่งได้ยินแล้วก็คิดถึงยุคทองของในยุค 90 ไม่ได้) ที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุด กับเกมรุกที่ดุดันเกรี้ยวกราดที่สุดของชีฟส์ (นี่ก็สมญาเท่ ‘หัวหน้าเผ่า’) ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่อง
แน่นอนครับว่าการเปรียบเทียบกันระหว่างสองควอเตอร์แบ็ก ซึ่งเป็นผู้เล่นตำแหน่งสำคัญที่เป็นเหมือน ‘พระเอก’ ของทีมย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นทำให้มีการวัดกันระหว่าง จิมมี่ การอปโปโล หอบังคับการของไนน์เนอร์ส และแพทริก มาโฮมส์ ผู้บังคับบัญชาของชีฟส์
ว่ากันว่านี่คือสองควอเตอร์แบ็กที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นมาแทนที่ควอเตอร์แบ็กอมตะอย่าง ทอม เบรดี ที่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาของเขา (และนิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ จะจบลง)
ถ้าไม่ใช่การอปโปโลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ‘มือรอง’ ของเบรดีอยู่ 3 ปีครึ่งในทีมแพทริออตส์ ก่อนจะเทรดมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเมื่อปี 2017 ก็ต้องเป็นมาโฮมส์ ไอ้หนูมหัศจรรย์ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยการคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าหรือรางวัล MvP มาครองได้เมื่อปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นปีแรกที่เขาเพิ่งจะได้เป็นตัวจริงของทีม ด้วยผลงานมหัศจรรย์ขว้างระยะเกิน 5,000 หลา กับอีก 50 ทัชดาวน์ตลอดฤดูกาล
แต่ดูเหมือนสิ่งที่เราได้เห็นที่ฮาร์ดร็อก สเตเดียม ในเมืองไมอามี มลรัฐฟลอริดา จะชัดเจนนะครับว่ามาโฮมส์คือคนที่ดีกว่าจริงสมกับคำทำนาย
คำทำนายนั้นมีการพูดกันไว้ในวงการคนชนคนครับว่ามาโฮมส์คืออนาคตของ NFL หรืออาจจะรวมถึงปัจจุบันด้วยก็ได้เหมือนกัน
เพราะสิ่งที่คนในวงการอเมริกันฟุตบอลได้เห็นจากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีคำใดจะอธิบายได้ดีกว่าคำว่า ‘มหัศจรรย์’ และมีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็นเขาไปได้ไกลยิ่งกว่าเบรดีในเส้นทางนี้ด้วยซ้ำไปครับ
นอกเหนือจากการขว้างบอลที่มหัศจรรย์ มาโฮมส์ยังวิ่งเองได้อย่างยอดเยี่ยม!
มาโฮมส์เก่งอย่างไร?
ในบทควอเตอร์แบ็กนั้น แน่นอนว่าหัวใจสำคัญคือการขว้างบอลที่ต้องแม่นยำ สายตาที่ต้องคมเหมือนเหยี่ยวในการมองหาเพื่อน เช่นกันกับการตัดสินใจในเสี้ยววินาที เพราะถ้าเลือกผิด นั่นอาจหมายถึงหายนะของทีมได้
โดยเฉพาะการขว้างบอลนั้น ควอเตอร์แบ็กทุกคนจะถูกสอนมาคล้ายๆ กันตามตำรา คือแขนต้องตั้ง 90 องศา ยกศอกขึ้นและขว้างเหนือไหล่ และอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มาโฮมส์ทำได้ตามตำราครับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาพิเศษกว่าคนอื่นคือการที่เขาทำได้มากกว่านั้นมากมาย
เขาคือควอเตอร์แบ็กคนแรกที่นำการขว้างแบบไม่มอง หรือ No-look pass มาใช้ ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดขว้างบอลได้ด้วยในยามจำเป็น ขว้างเหนือหัว ขว้างข้างๆ ขว้างต่ำๆ กระโดดถอยหลังขว้างบอล
พูดง่ายๆ คือเขาทำอะไรก็ได้ และที่สำคัญลีลานั้นไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไป เพราะความแม่นยำในการขว้างของเขายังอยู่ที่ 66%
หากถูกบีบให้ขว้างไม่ได้ มาโฮมส์ก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งพอที่จะวิ่งแหวกเข้าไปทำทัชดาวน์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งในเกมซูเปอร์โบวล์ครั้งนี้เราก็ได้เห็นกันแล้วในดาวน์แรก ซึ่งความจริงแล้วเขามีมากกว่าสองทางเลือกเสมอในการเล่น บางครั้งมีถึง 3-4 ทางเลือก
มีการพูดกันครับว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้นั้นคือสิ่งเดียวกับที่ สตีเฟน เคอร์รี เคยทำได้กับบาสเกตบอล NBA มาก่อน
ในเกมบาสเกตบอล ปกติแล้วการยิง 3 คะแนนนั้นผู้เล่นจะถูกสอนว่าจะต้องยืนใกล้เส้นให้มากที่สุด แต่ ‘สเตฟ’ ทำลายกฎดังกล่าวด้วยการยิงจากระยะไหนก็ได้ (ไม่นับวิธีการปล่อยบอลที่น่าทึ่ง) และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนของ NBA ที่ทำให้ปัจจุบันการชู้ต 3 คะแนนนั้นเกิดขึ้นตรงไหนก็ได้
จากการเล่นแบบเป๊ะๆ ของเบรดีผู้เคร่งครัด NFL กำลังจะเข้าสู่ยุคของมาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กที่ครบเครื่องต้มยำและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์มากที่สุด และมีความเป็นไปได้ที่เด็กในยุคถัดไปจะมองเขาเป็นต้นแบบ เป็นโปรโตไทป์ของควอเตอร์แบ็กยุคใหม่
นอกสนามเอง มาโฮมส์ยังถูกคาดการณ์ว่าเขาจะกลายเป็นควอเตอร์แบ็กที่มีรายได้งามที่สุด โดยอาจจะได้เทียบเท่ากับผู้เล่น NBA เป็นนักอเมริกันฟุตบอลคนแรกที่มีรายได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ที่สำคัญคือเขาอาจจะกลายเป็นขวัญใจเบอร์หนึ่งของประเทศยิ่งกว่า ทอม เบรดี, เลอบรอน เจมส์ หรือเซเรนา วิลเลียมส์ ในฐานะ New Face of US Sports
เรียกว่าในปีที่โลกกำลังเข้าสู่ทศวรรษใหม่ NFL และวงการกีฬาสหรัฐฯ เองก็เข้ายุคใหม่กับซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่พอดี
มาโฮมส์ฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตกับแฟนสาว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- หนึ่งในเรื่องน่ารักๆ ของมาโฮมส์คือแฟนสาวของเขา บริตทานี แมตธิวส์ นั้นพบรักและคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลเลยทีเดียว โดยโตมาด้วยกันในมลรัฐเท็กซัส เจอกันที่ไวต์เฮาส์ ไฮสคูล และบริตทานีเองก็เป็นนักกีฬาเช่นเดียวกัน เธอเล่น ‘ซอกเกอร์’!
- เคล็ดลับความสำเร็จของมาโฮมส์คือการนอน โดยเทรนเนอร์ของเขา บ็อบบี้ สตรูป เผยว่ามาโฮมส์นอนได้วันละ 10 ชั่วโมง และพร้อมจะงีบตลอดทั้งวัน