จากบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์ สู่ราชาผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลก!
“The biggest car brand you’ve never heard of” คือคำกล่าวครั้งหนึ่งของผู้บริหารในการโปรโมต และเพื่อมุ่งเป้าไปที่การบุกตลาดทั่วโลกของแบรนด์ BYD (ซึ่งย่อมาจาก Build Your Dreams)
ณ วันนี้เรียกได้ว่า BYD ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ และขยับขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ขายดีที่สุดอันดับ 1 แซงหน้า Tesla เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิดชื่อแบรนด์รถยนต์ EV จีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย เริ่มเดินสายพานปี 2567-2568 กำลังผลิตเท่าไร ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง
- 20 รถยนต์ไฟฟ้าน่าซื้อในปี 2024 สำหรับคนอยากเข้าวงการ EV
- ที่สุดแห่งปี! ตลาด EV ไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน เมื่อยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า BEV ปีนี้พุ่ง 7.9 เท่า แตะ 67,056 คัน BYD รั้งแชมป์ ตามด้วย NETA
BYD กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ EV อันดับ 1 ได้อย่างไร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเติบโตของ BYD ส่วนหนึ่งมาจาก ‘เงินอุดหนุนของรัฐบาลจีน’ ที่มีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ EV ตั้งแต่ปี 2010 ทั้งให้เงินอุดหนุนด้านการวิจัยและพัฒนาแก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด การยกเว้นภาษีอุตสาหกรรม การปล่อยเงินกู้ และปรับลดที่ดินราคาถูก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างรากฐานในการพัฒนาแบรนด์ BYD
นอกจากนี้ ‘ราคาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่น’ ก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจผู้ซื้อในตลาดขยายวงกว้างมากขึ้น โดยราคาเริ่มต้นของ BYD เริ่มตั้งแต่ราว 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 แสนบาท) ซึ่งถูกกว่า Tesla ที่มีราคาเฉลี่ยราว 45,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.575 ล้านบาท)
หมายความว่า BYD ถูกกว่า Tesla ถึง 4.5 เท่า!
เติบโตแบบก้าวกระโดด
หลังจากที่ระยะหลังๆ บรรดาค่ายรถ EV จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเริ่มเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และเยอรมนี ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงเป็นคู่แข่งและเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของโลก แต่น่าสนใจว่ายอดการส่งออกของรถยนต์ราว 1.3 ล้านคันจากทั้งหมด 3.6 ล้านคัน ล้วนเป็นการส่งออกจากตลาดจีน
โดยในเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากเจ้าตลาดอย่าง Toyota, Volkswagen และ General Motors รวมถึง BYD ที่เริ่มเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างจริงจัง
ยังไม่นับรวมแรงหนุนจาก Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BYD
ตลอดจนปัจจัยหลักจากเมกะเทรนด์โลกที่กำลังเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปกลายเป็นรถยนต์ EV แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีนสามารถเข้ามาครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ของโลกได้ในที่สุด
ก้าวต่อไปของ BYD
แน่นอนว่าหลังจากที่ BYD ครองตลาดด้วยยอดขาย และสามารถเอาชนะ Tesla ไปได้นั้นคงยังไม่เพียงพอ เป้าหมายต่อไปคือการบุกตลาดใหม่ๆ นอกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปสู่ตลาดอื่นๆ อย่างตะวันออกกลางและยุโรป
ท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนทั้งทางด้านกฎระเบียบการค้าที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังสอบสวนเงินอุดหนุนรถยนต์ EV นำเข้าจากจีน ประกอบกับประเด็นที่ยังค้างคาในเรื่องของราคาที่ถูกกว่าคู่ค้าในยุโรป
ที่สำคัญการเข้าไปขยายฐานการผลิตในตลาดใหม่ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ความตึงเครียดระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและจีนเองก็ไม่มีท่าทีคลี่คลาย การที่จะเจาะเข้าไปสู่ตลาดสหรัฐฯ จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย
จึงต้องจับตากันต่อไปว่า BYD จะสามารถเจาะเข้าสู่ตลาดใหญ่ได้หรือไม่?
อ้างอิง:
- https://finance.yahoo.com/m/3ce7d1c9-a5c6-39c5-aa87-7a13a2c16297/tesla-vs-byd-tsla-tests-key.html
- https://finance.yahoo.com/news/chinas-byd-overtook-tesla-become-160000225.html?guccounter=1
- https://www.youtube.com/watch?v=Ttu55nEtC6o&t=28s
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-01-04/how-china-s-byd-beat-tesla-at-its-own-game-to-become-king-of-the-evs