วันนี้ (12 กันยายน) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยเฉพาะต่อนโยบายทางการเมืองและการแก้รัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ตลอดเวลา 120 วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ตนเชื่อว่าคำถามหนึ่งในใจของประชาชนหลายคนคือคำถามที่ว่าอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่นำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลพิเศษครั้งนี้ ตนขอทำนายว่าแม้เราจะมีรัฐบาลใหม่ที่ไม่ได้นำโดยหัวหน้าคณะรัฐประหารแล้ว แต่รัฐบาลใหม่นี้จะยังคงไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดในประเทศเป็นของประชาชน
เพราะเมื่อเปิดอ่านคำแถลงนโยบายของรัฐบาลและวิเคราะห์ทั้งคำพูดที่อยู่ในเอกสารและที่ตกหล่นขาดหายไป จะเห็นได้ชัดถึงอาการที่ตนขอเรียกว่า “รัฐที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดูแล้วรัฐบาลคงจะไม่ยอมให้ประชาชนทั่วประเทศมีอำนาจขีดเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ หรือรัฐราชการที่คงไม่ยอมให้เกิดการกระจายอำนาจมาสู่ประชาชนในแต่ละพื้นที่
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญ พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีปัญหาทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหาที่ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย โดยความจริงทุกฝ่ายเคยได้ข้อสรุปร่วมกันมาแล้วว่าประเทศนี้ควรต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หากย้อนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 พวกเราทุกฝ่ายในรัฐสภาแห่งนี้ได้ร่วมกันลงมติอย่างท่วมท้น ด้วยคะแนนเห็นชอบถึง 88% ของสมาชิกรัฐสภา เพื่อรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น เป้าหมายของรัฐบาลนี้จึงไม่ควรเป็นอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีที่มา กระบวนการ และเนื้อหาที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
แต่หากนำเอานโยบายแก้รัฐธรรมนูญที่ เศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้ อ้างอิงจากเอกสารที่พรรคเพื่อไทยส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนเลือกตั้ง มาเทียบกับนโยบายแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ปรากฏอยู่ทั้งหมด 7 บรรทัด 94 คำ ในเอกสารคำแถลงนโยบาย จะเห็นได้ว่าจุดยืนและนโยบายของนายเศรษฐาและนายกรัฐมนตรีเศรษฐาต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างน้อยใน 4 คำถาม คือ
1) รัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เพราะเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐาแล้ว ท่านบอกแต่เพียงว่าจะ “หารือแนวทาง” ในการจัดทำรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนั้น ตนจึงต้องทวงถามนายกรัฐมนตรีตรงๆ ว่าจะยังสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือเมื่อท่านได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ทำให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ จุดยืนของท่านเลยเปลี่ยนแปลงไป?
2) รัฐบาลจะให้ใครมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมัยเป็นนายเศรษฐา ท่านยืนยันชัดเจนว่าจะให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจัดทำ แต่พอมาช่วงหลังๆ ท่านกลับเริ่มเงียบต่อคำถามที่สังคมมีต่อรูปแบบของ สสร. ทำให้ตนเริ่มกังวลว่าท่านจะกลับลำจากรูปแบบ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาเป็นรูปแบบ สสร. ที่มีส่วนผสมของการแต่งตั้ง เพื่อเปิดช่องให้เครือข่ายอำนาจเดิมที่สนับสนุนรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้าเข้ามาแทรกแซง ควบคุม และล็อกสเปก สสร. หรือไม่ ซึ่งก็จะนำไปสู่การล็อกสเปกเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ไม่มีอะไรที่ก้าวหน้าหรือแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย
และเมื่อมาถึงวันนี้ ตนก็เริ่มกังวลมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เพราะในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลไม่มีการเขียนคำว่า สสร. ให้ปรากฏแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น ตนจึงต้องทวงถามว่าตกลงนายกรัฐมนตรีจะยังให้มี สสร. มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่หรือไม่ หรือจะปล่อยให้อำนาจในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตกเป็นของรัฐสภาแห่งนี้ ที่ 1 ใน 3 ประกอบไปด้วย สว. จากการแต่งตั้ง ที่มีผลงานในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแทบทุกครั้งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
3) รัฐบาลจะล็อกเนื้อหาอะไรบ้างในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมัยเป็นนายเศรษฐา ท่านพร้อมจะให้เกียรติประชาชนและเปิดกว้างต่อทุกความฝันด้วยการให้อำนาจ สสร. ไปถกเถียงและพิจารณาเนื้อหาใหม่ทั้งฉบับ โดยมีเงื่อนไขข้อเดียวที่ล็อกไว้ คือรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งแม้ท่านไม่เขียนไว้ก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วตามมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ 2560
แต่พอมาเป็นนายกฯ เศรษฐา ท่านกลับไปเพิ่มเงื่อนไข จากเดิมที่ท่านล็อกแค่เรื่องรูปแบบการปกครอง ตอนนี้ท่านล็อกให้ไม่มีการแก้อะไรสักคำในหมวด 1 (บททั่วไป) และหมวด 2 (พระมหากษัตริย์)
วันนี้เราคงไม่มีเวลาถกกันในรายละเอียดว่า 19 มาตราในหมวดพระมหากษัตริย์ มีส่วนไหนบ้างที่อาจปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยไม่กระทบรูปแบบการปกครอง แต่ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีกำลังกังวลเกินเหตุ เพราะการแก้ไขข้อความในหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ได้เท่ากับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง และทุกครั้งที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งในปี 2540, 2550 และ 2560 เนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 ก็ถูกปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด
แต่สิ่งที่อันตรายกว่านั้นคือความกังวลเกินเหตุของนายกรัฐมนตรี อาจหวนกลับมากระทบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียเอง เพราะหากมีประชาชนอยากปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนในหมวดพระมหากษัตริย์โดยที่ไม่กระทบรูปแบบการปกครอง การล็อกไม่ให้แม้แต่จะพูดถึงได้ด้วยเหตุและผลในพื้นที่ที่ควรปลอดภัยอย่าง สสร. อาจจะยิ่งทำให้คำถามในใจของเขาดังขึ้นว่าตกลงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร
หรือหากวันหนึ่งในระหว่างที่ สสร. กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คนที่อยากแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และ 2 กลับไม่ใช่ประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไร จะยืนยันอย่างแข็งขันกลับไปกับบุคคลท่านนั้นว่าแก้ไขไม่ได้ หรือจะยอมทำตามความประสงค์ของบุคคลดังกล่าว โดยอาศัยกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ เหมือนกับที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 หลังจากผ่านประชามติปี 2559 ไปแล้ว จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาจนถึงทุกวันนี้
4) รัฐบาลจะเริ่มดำเนินการการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร สมัยเป็นนายเศรษฐา พรรคเพื่อไทยเคยแถลงไว้อย่างชัดเจนว่าในการประชุม ครม. นัดแรก จะมีการออกมติให้เดินหน้าจัดทำประชามติ เพื่อนับหนึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐา แม้จะบอกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ในเอกสารกลับไม่มีความชัดเจนว่าท่านจะดำเนินการอย่างไร นอกจากข้อความว่าท่านจะ “หารือแนวทางในการทำประชามติ”
“ท่านยืนยันได้ไหมครับ ในการประชุม ครม. นัดแรกที่จะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้ พวกท่านจะมีมติออกมาเพื่อให้เดินหน้าในการจัดทำประชามติ และนับหนึ่งสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และท่านยืนยันได้ไหมว่าคำถามที่ท่านจะใช้ในประชามติ จะเป็นคำถามที่ยืนยันหลักการเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” พริษฐ์กล่าว
พริษฐ์ยังกล่าวต่อไปว่า หากกล่าวโดยสรุปเรื่องนโยบายรัฐธรรมนูญ ในขณะที่นโยบายของนายเศรษฐาทั้งชัดเจนและตรงจุด แต่นโยบายของนายกรัฐมนตรีเศรษฐากลับหาความชัดเจนไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว แต่ในเมื่อท่านไม่ลุกขึ้นมายืนยันจุดยืนเดิมที่นายเศรษฐาเคยประกาศไว้ ตนก็ขออนุญาตไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐาจะนำพาเราไปสู่เป้าหมายของการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยได้
ไม่น่าเชื่อว่าการเติม ‘ก ไก่’ แค่ตัวเดียวจาก ‘นายเศรษฐา’ เป็น ‘นายกฯ เศรษฐา’ จะทำให้จุดยืนท่านเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ซึ่งสำหรับตนแล้ว ‘ก’ ที่เพิ่มขึ้นมานี้ ย่อมาจากคำว่า ‘กลัว’ และ ‘เกรงใจ’ ที่อธิบายถึงความรู้สึกที่ท่านมีต่อพรรคร่วมและเครือข่ายที่ทำให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ จนไม่กล้าผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนตามที่เคยได้ให้สัจจะไว้
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ตนยังจำได้ว่านายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ว่าท่านต้องการเป็น ‘นายกรัฐมนตรีแห่งการเปลี่ยนแปลง’ แต่จากนโยบายเรื่องรัฐธรรมนูญและการกระจายอำนาจ ตนคิดว่าวันนี้ท่านเป็นได้แค่ ‘นายกรัฐมนตรีแห่งจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงไป’ ทั้งจากคำสัญญาว่าจะ ‘จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ’ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่การ ‘หารือแนวทางในการจัดทำรัฐธรรมนูญ’ จากคำสัญญาว่าจะ ‘เลือกตั้งผู้ว่าฯ ในจังหวัดนำร่อง’ ตอนนี้เหลือเพียงแค่การ ‘ฟื้นคืนชีพผู้ว่าฯ CEO’
มาถึงวันนี้ตนยังเชื่อว่าลึกๆ ท่านก็ยังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามที่ท่านเคยสัญญาไว้กับประชาชน แต่ ณ วินาทีที่ท่านเลือก ‘เทหมดหน้าตัก’ แลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ท่านได้แถมกลับมาด้วยคือกรงขังและโซ่ตรวนที่มาล้อมตัวท่าน และไม่อนุญาตให้ท่านเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
“ดังนั้นหากท่านยังอยากเป็น ‘นายกฯ แห่งการเปลี่ยนแปลง’ ตามที่ท่านใฝ่ฝัน ผมคิดว่าท่านต้องแสดงความกล้าหาญกว่านี้ในการผลักดันวาระทางการเมืองและประชาธิปไตย แม้วาระเหล่านั้นอาจจะขัดกับผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาลหรือเครือข่ายอำนาจเดิมที่อยู่เบื้องหลังการเข้าสู่อำนาจของท่าน แต่หากหลังจากวันนี้ท่านยังเลือกที่จะนิ่งเฉย และเดินตามเพียงแค่ถ้อยคำในคำแถลงนโยบายฉบับนี้ ผมเกรงว่าประชาชนจะไม่จดจำรัฐบาลนี้ว่าเป็น ‘รัฐบาลเศรษฐา’ แต่เขาจะจดจำว่ารัฐบาลนี้เป็น ‘รัฐบาลเศษส่วน’ ที่ทำได้เพียงแค่เสี้ยวเดียวจากสิ่งที่ท่านนายกฯ เคยสัญญากับประชาชน และไม่ยอมให้รัฐมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างตามที่ประชาชนต้องการและถวิลหา” พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย