วันนี้ (11 กันยายน) ที่ประชุมอาคารรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของสมาชิกรัฐสภา ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคก้าวไกล อภิปรายในส่วนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาลว่า จากรายงานสภาวะเศรษฐกิจไทยของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
บ่งชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในระยะฟื้นตัว ในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวถึง 2.2% และมีการใช้จ่ายภายในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ขยายตัวตั้งแต่หลังผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ปัญหาที่กดดันการขยายตัวเศรษฐกิจไทยคือ ภาคการส่งออกที่เป็นไปตามสภาวะโลกที่การส่งออกชะลอตัว ซึ่ง World Bank และ IMF ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาและจีนที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยนั้นมีแนวโน้มจะลดลงอีก ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแน่นอน
ชัยวัฒน์กล่าวว่า สภาวะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน เนื่องจากการใช้มาตรการทางการคลังจะเป็นการช็อตและกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นเหมือนที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าว แต่มาตรการนี้ควรจะใช้ให้ถูกเวลา
“นโยบายแจกเงินทั่วหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นควรทำเมื่อการบริโภคภาคเอกชนหดตัว ไม่ใช่ช่วงที่การบริโภคกำลังขยายตัวอย่างตอนนี้ เหมือนกับการที่หัวใจยังไม่หยุดเต้นแล้วจะเอากระแสไฟฟ้ามาช็อตเพื่ออะไร ซึ่งหากยังดึงดัน คนที่หัวใจเต้นปกติอยู่ดีๆ อาจจะช็อกจนสลบหมดสติไปเลยเสียมากกว่า ดังนั้น การนำเงินมาแจกจึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด ไม่ถูกเวลา” ชัยวัฒน์กล่าว
ชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลคาดหวังว่าการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทจะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมหาศาลนั้น เป็นการคาดการณ์ที่สูงเกินไป และไม่น่าเกิดขึ้นได้จริงตามที่กล่าวอ้าง เพราะประชาชนจะเลือกใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตที่รัฐบาลให้ และเก็บเงินของตัวเองไว้ในกระเป๋า ทำให้การใช้จ่ายไม่ขยายตัว
อีกทั้งยังมีจุดรั่วไหลของเงินอีกหลายแห่ง ซึ่งจะทำให้การลงทุนด้วยภาษีของประชาชนขาดทุน ได้ไม่คุ้มเสีย และหากเปรียบเทียบกับสถิติแจกเงินของต่างประเทศจะพบว่า การหมุนเวียนการใช้จ่ายเงินนั้นไม่สูง แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคาดหวังที่จะให้เม็ดเงินจากเงินดิจิทัลวอลเล็ตหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 3 เท่า ซึ่งถือว่าสูงเกินความเป็นจริงอย่างมาก
ดังนั้น การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตในครั้งนี้จึงไม่น่าจะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจตามที่กล่าวอ้าง แต่จะเป็นพายุไต้ฝุ่นที่บ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย ทิ้งสร้างปรักหักพังเป็นภาระทางการคลังของประเทศ และจะทิ้งภาระหนี้สินให้ลูกหลานต้องมาชดใช้ แล้วจะหวนกลับมาทำลายรัฐบาลเอง ดังนั้น นโยบายดังกล่าวอาจเป็นเพียงเทคนิคในการหาเสียงเท่านั้น แต่ที่แน่ๆ จะทำให้ประเทศเสียโอกาสในการนำงบประมาณมหาศาลนี้ไปแก้ปัญหาด้านอื่นที่สำคัญกว่า ทำให้ผู้ที่เสียประโยชน์ที่แท้จริงคือประชาชน
ชัยวัฒน์ระบุว่า หากนายกรัฐมนตรียังดึงดันที่จะแก้ไขปัญหาด้วยเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อไปก็ยังมีปัญหามากมาย โดยเฉพาะเงื่อนไขในการใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น การกำหนดให้ใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน แต่ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตภูมิลำเนา ดูได้จากสถิติผู้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตในการเลือกตั้งที่ผ่านมามีมากกว่า 2,350,000 คน แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะให้คนเหล่านี้กลับไปใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตในบ้านเกิดของตัวเองเพื่ออะไร
หากต้องการกระจายเงินไปในทุกพื้นที่ก็ต้องคิดว่า ในพื้นที่ 4 กิโลเมตรของแต่ละพื้นที่จะมีร้านค้าที่สามารถรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้สักกี่ร้าน อาจเป็นการบีบให้ประชาชนต้องเสียเงินซื้อสิ่งของที่ไม่อยากได้เพื่อใช้เงิน สุดท้ายอาจไปจบที่ร้านสะดวกซื้อ หรือห้างค้าส่ง และยังมีการกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้าในระบบภาษีเท่านั้นที่สามารถแลกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคารได้ ทำให้ร้านค้ารายเล็กไม่สามารถแลกเงินได้ ทำให้ผู้ค้ารายเล็กไม่อยากเข้าร่วมโครงการ
ชัยวัฒน์กล่าวว่า ตนขอเป็นตัวแทนประชาชนในการตั้งคำถามถึงที่มาของเงิน 5.6 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ว่าจะนำมาจากที่ไหน เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยบอกเสมอว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องกู้ยืม ในขณะที่งบประมาณของรัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ตนรู้สึกเป็นกังวลว่าจะนำเงินที่ไหนมาใช้ จึงขอถามนายกรัฐมนตรีว่า ยังกล้าหรือไม่ที่จะบอกว่าจะไม่กู้ยืมเงินมาใช้ในโครงการนี้ และขอวิงวอนว่า อย่าให้งานแรกในการเข้ามาบริหารงานประเทศเป็นการทลายกรอบวินัยการเงินการคลังเพื่อหาทางใช้เงินนอกงบประมาณ ซึ่งจะไม่ผ่านการตรวจสอบของสภา