วันนี้ (1 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 27 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ประชุมได้เริ่มพิจารณาตั้งแต่มาตราที่ 22 และลงมติอย่างต่อเนื่องจนผ่านมาถึงมาตราที่ 30
กระทั่งเวลา 15.33 น. เมื่อเข้าสู่การพิจารณาส่วนที่ 5 ของร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยเจ้าพนักงานอากาศสะอาด มาตรา 30/2 วิทยา แก้วภราดัย สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยต่อขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานอากาศสะอาด โดยเป็นห่วงว่าจะมีอำนาจยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะมีอำนาจควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษต่างๆ ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และอื่นๆ โดยไม่ต้องมีหมายศาล และอาจเปิดช่องว่างให้เกิดการทุจริต
“ผมคิดว่าการให้อำนาจแบบนี้ ใครจะรับประกันว่าเจ้าพนักงานสะอาดคนนั้นจะใช้อำนาจโดยชอบ ถ้าไม่เช่นนั้นจะหนักกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปตรวจค้นตามบ้านเสียอีก … ผมเข้าใจว่ากรรมาธิการต้องการกวดขันเรื่องอากาศสะอาด แต่ต้องระมัดระวังการให้อำนาจขนาดนี้ ใครจะเป็นคนควบคุม ถ้าพนักงานอากาศสะอาดไปเที่ยวอาละวาด จะเข้าตรวจเก็บค่าคุ้มครองจากชาวบ้าน” วิทยากล่าว
วิทยามองว่า กรรมาธิการควรนำมาตรากลับไปปรับปรุงเสียก่อน เพราะเกรงว่าจะขัดต่อมาตรา 33 ของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการห้ามมิให้เข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง และอาจส่งผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไปทั้งฉบับ
จากนั้น ได้มีสมาชิกลุกขึ้นอภิปรายแสดงความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจกับเจ้าพนักงานอากาศสะอาด เช่น ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ชี้ว่า มาตรานี้ขัดหลักนิติธรรม และขัดกับกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ เช่นการให้อำนาจทับซ้อนกับกรมการขนส่งที่มีหน้าที่ตรวจควันดำอยู่แล้ว
“ท่านอยู่ในโลกความเป็นจริงหรือเปล่า ท่านต้องเข้าใจว่า การปฏิบัติหน้าที่ของราชการ ไม่ใช่คนดีทั้งหมด ยามใดที่กฎหมายไปอยู่กับคนไม่ดี ยามนั้นจะมีปัญหาเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จึงอยากให้กรรมาธิการถอนไปพิจารณาให้ดี” ชาดากล่าว
ขณะที่กรรมาธิการได้ยืนยันการเพิ่มเติมมาตรานี้ เช่น ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ ระบุว่า มาตราส่วนนี้อ้างอิงมาจากกฎหมายที่มีอยู่เดิม คือเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เหมือนกัน ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาใหม่ พร้อมชี้ว่า สภาฯ กำลังตีความเรื่องนี้ในแง่ร้ายเกินไป จึงไม่ได้เป็นการให้อำนาจที่ล้นเกินแต่อย่างใด
ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ขอหารือกับประธานในที่ประชุมว่า หลังจาก สส. พรรคเพื่อไทย ได้หารือกันเป็นการภายในแล้ว เห็นถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ และหวังจะให้เดินหน้าผ่านไปได้ จึงตัดสินใจจะลงมติเห็นชอบให้ในมาตรานี้ เพราะขั้นต่อไปยังมีการปรับแก้ของวุฒิสภาต่อไปได้ ก่อนจะกลับมายังสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายยังดำเนินต่อไปยาวนานเกือบ 2 ชั่วโมง จนท้ายที่สุดเมื่อเวลา 16.56 น. ไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมขณะนั้น ได้ถาม จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ว่าจะยืนยันตามที่กรรมาธิการได้เพิ่มมาตรานี้หรือไม่ ซึ่งจักรพลยืนยันตามเดิม ทำให้ไชยาดำเนินการให้สมาชิกออกเสียงลงคะแนน
ผลการลงมติปราฏว่า ที่ประชุมสภาฯ มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบกับมาตราดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 155 เสียง ไม่เห็นชอบ 115 เสียง งดออกเสียง 20 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง